ประวัติศาสตร์การโจมตีทางไซเบอร์

โลกไซเบอร์เป็นโลกที่ไร้พรมแดน ไร้ตัวตน และมีความซับซ้อน โลกไซเบอร์จึงเป็นสนามรบที่ใหม่และท้าทายสำหรับเหล่านักรบไซเบอร์หรือแฮกเกอร์การโจมตีทางไซเบอร์มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของคอมพิวเตอร์ ในช่วงแรก การโจมตีทางไซเบอร์มักเป็นการโจมตีเพื่อก่อกวนหรือสร้างความเสียหาย เช่น การปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์หรือมัลแวร์

ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตต่างก็ใช้แฮกเกอร์เพื่อจารกรรมข้อมูลและก่อกวนการทำงานของอีกฝ่าย ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1982 สหภาพโซเวียตได้โจมตีคอมพิวเตอร์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ “มอสโก” ส่งผลให้คอมพิวเตอร์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลาหลายเดือน หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง การโจมตีทางไซเบอร์ก็ยังคงดำเนินต่อไป

ในช่วงทศวรรษ 1990 สหรัฐอเมริกาได้โจมตีคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีนโดยใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ “มัลแวร์ 2000” ส่งผลให้คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีนไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์

ในช่วงทศวรรษ 2000 การโจมตีทางไซเบอร์ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น สงครามไซเบอร์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ในปี ค.ศ. 2007 จากการโจมตีทางไซเบอร์ต่อประเทศเอสโตเนีย เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการประท้วงต่อต้านการย้ายรูปปั้นของทหารโซเวียตออกจากเมืองหลวงของเอสโตเนีย ผู้ประท้วงได้โจมตีเว็บไซต์ของรัฐบาลเอสโตเนียและเว็บไซต์ขององค์กรต่างๆ โดยใช้โปรแกรม DDoS (Distributed Denial-of-Service) การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้เว็บไซต์ของรัฐบาลเอสโตเนียและเว็บไซต์ขององค์กรต่างๆ ไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลาหลายวัน

เหตุการณ์ Cyberwarfare in Estonia ได้แสดงให้เห็นว่าสงครามไซเบอร์สามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและองค์กรได้

ในปี ค.ศ. 2010 เกิดเหตุการณ์ Stuxnet ซึ่งเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิหร่าน

Stuxnet เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนและทรงพลังมาก มันสามารถหลบเลี่ยงการป้องกันของคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดาย และสามารถทำลายระบบควบคุมของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้ การโจมตีด้วย Stuxnet ประสบความสำเร็จในการทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิหร่าน และส่งผลกระทบต่อโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างรุนแรงเหตุการณ์ Stuxnet ได้แสดงให้เห็นว่าสงครามไซเบอร์สามารถเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการทำลายล้าง

การโจมตี Stuxnet ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดความตระหนักถึง การโจมตีไซเบอร์โดยมีกองกำลังที่รัฐบาลอยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุน

Stuxnet ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีระบบควบคุมของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิหร่านโดยเฉพาะ มันสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบควบคุมของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และทำให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทำงานผิดปกติ

Stuxnet ทำงานโดยใช้กลไกที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือ Stuxnet จะแพร่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ต่างๆ ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์หรืออีเมลฟิชชิ่ง เมื่อ Stuxnet เข้าสู่คอมพิวเตอร์แล้ว มันจะเริ่มค้นหาระบบควบคุมของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เมื่อพบระบบควบคุมแล้ว Stuxnet จะเริ่มแทรกซึมเข้าไปในระบบ Stuxnet จะแทรกซึมเข้าไปในระบบโดยการปลอมตัวเป็นโปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตัวอย่างเช่น Stuxnet อาจปลอมตัวเป็นโปรแกรมอัพเดตซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมรักษาความปลอดภัย เมื่อ Stuxnet แทรกซึมเข้าไปในระบบแล้ว มันจะเริ่มทำให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทำงานผิดปกติ ตัวอย่างเช่น Stuxnet อาจทำให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทำงานเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปการโจมตีครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าสงครามไซเบอร์สามารถเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการทำลายล้าง

ในปี ค.ศ. 2013 เกิดเหตุการณ์ The Sony Pictures hack ซึ่งเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ต่อบริษัท Sony Pictures Entertainment

ผู้โจมตีได้ขโมยข้อมูลสำคัญของบริษัท Sony Pictures มากมาย รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และข้อมูลภาพยนตร์ที่ยังไม่ออกฉาย

การโจมตีครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลต่อบริษัท Sony Pictures และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก

เหตุการณ์ The Sony Pictures hack ได้แสดงให้เห็นว่าสงครามไซเบอร์สามารถถูกใช้เพื่อโจมตีเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้

ในยุคปัจจุบัน การโจมตีทางไซเบอร์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เหล่าแฮกเกอร์เริ่มใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการโจมตี เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการโจมตีแบบอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2017 รัสเซียได้โจมตีคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ “โนเปียร์” ส่งผลให้คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์

ในปัจจุบัน การโจมตีทางไซเบอร์ยังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความมั่นคงไซเบอร์ของโลก เหล่าแฮกเกอร์เหล่านี้ใช้ทักษะของพวกเขาเพื่อโจมตีเป้าหมายต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล

การโจมตีทางไซเบอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

  • การโจมตีเพื่อจารกรรมข้อมูล เช่น การโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลลับทางทหาร ข้อมูลทางเศรษฐกิจ หรือข้อมูลทางการเมือง
  • การโจมตีเพื่อก่อกวนหรือสร้างความเสียหาย เช่น การโจมตีเพื่อทำให้ระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายไม่สามารถใช้งานได้ การโจมตีเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข้อมูลทำลายล้าง
  • การโจมตีเพื่อเรียกค่าไถ่ เช่น การโจมตีเพื่อข่มขู่ให้จ่ายเงินค่าไถ่เพื่อแลกกับข้อมูลที่ถูกขโมยไป

การโจมตีทางไซเบอร์ก่อให้เกิดความเสียหายได้หลายด้าน เช่น

  • ความเสียหายด้านข้อมูล เช่น การสูญหายของข้อมูล การเผยแพร่ข้อมูลลับสู่สาธารณ
  • ความเสียหายด้านเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียรายได้ การหยุดชะงักของธุรกิจ
  • ความเสียหายด้านสังคม เช่น ความตื่นตระหนก ความไม่ไว้วางใจ

    การโจมตีทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความมั่นคงไซเบอร์ของโลก สิ่งสำคัญคือทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามนี้

ขอบคุณ

Nontawatt.S