เดินสายให้ความรู้ PDPA ที่ ราชภัฏกาญจนบุรีและ กระทรวงมหาดไทยกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น

เดินสายให้ความรู้ PDPA อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้รับเกียรติ จากราชภัฏกาญจนบุรีและ กระทรวงมหาดไทยกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น เชิญสมาคม CIPAT ไปบรรยายเรื่องการเตรียมรับมือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA แบบ Step by Step โดยเรียนรู้จากกรณีศึกษา GDPR จากต่างประเทศที่มีการปรับจริง และ PDPA ของประเทศสิงคโปร์ มาประยุกต์ใช้ให้รู้เท่าทัน

และถือเป็นการเปิดตัว “Arak Data Protection Suite”ซอฟต์แวร์ที่เป็นการร่วมมือจากสมาคม CIPAT และ SRAN ได้จัดทำขึ้นเพื่อมาช่วยให้ PDPA เป็นเรื่องง่ายขึ้นเป็นการเดินสายที่ได้มิตรภาพใหม่ๆ อย่างมากขอบคุณครับ

“ใช้ซอฟต์แวร์ไทย ประเทศยั่งยืน”

เมื่อคืนนี้ ได้มาร่วมงานในประกาศรางวัลซอฟต์แวร์ไทย อันเป็นเวทีสำหรับ คนที่กล้าเปลี่ยนใช้ ซอฟต์แวร์ที่ทำด้วยคนไทย ในงาน 0110 จัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย หรือ ATSI

เป็นรางวัลแด่คนตัวเล็กๆ ที่แอบช่วยชาติให้เข้มแข็ง

ผมได้มีโอกาสคุยท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่า “เราต้องสร้างค่านิยมใหม่เพื่อให้มีจิตสำนึกร่วมกันกไม่เช่นนั้นคนไทยในยุคหน้าจะอยู่กันอย่างยากลำบาก”

ค่านิยมที่เรียกว่า

“ใช้ซอฟต์แวร์ไทย ประเทศยั่งยืน”

ด้วยเหตุผลอย่างน้อยดังนี้

(1) ประเทศที่บริโภคอย่างเดียว โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี โอกาสการต่อรองในเวทีโลกจะต่ำและไร้มูลค่าลง

อ่านที่ https://link.medium.com/9hIWIcKgp1

เคยยกตัวอย่าง เช่น หากอเมริกาขอระงับสิทธิการใช้งาน Google ในประเทศไทยสัก 15 วัน อะไรจะเกิดขึ้น ผลกระทบที่ตามมาจะกระทบถึงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่เดียวลองคิดดู

(2) ห่วงโซ่ อุปสงค์ และ อุปทาน อันเป็น ปากท้องของคนในประเทศ จะถูกแทรกแทรงจาก Ecosystem ใหม่ได้ หากเราเป็นไม่เปลี่ยนแปลงเป็น นักคิด และนักทำ

อ่านเพิ่มเติม มายาเทค https://link.medium.com/Ct0GPeGsp1

อ่านที่ https://link.medium.com/17C9wuOgp1

(3) ขาดความภาคภูมิใจของคนในชาติ โดยเฉพาะแบนด์ไทยในด้านเทคโนโลยี และการขับเคลื่อนประเทศโดยใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือนำพา

ยกตัวอย่าง

เมื่อเราเห็น Huawei เราเห็นประเทศจีน

เมื่อเราเห็น Samsung เราเห็นประเทศเกาหลีใต้

เมื่อเราเห็น Google, Microsoft, Apple เราเห็นอเมริกา

เมื่อเราเห็น Toyota, Panasonic, Line เราเห็นญีปุ่น

แล้วประเทศเราล่ะ มีอะไร? inside out outside in

คนที่มองจากข้างในชาติ และคนที่มองจากข้างนอกประเทศ เห็นอะไรจากประเทศเรา ?….

ขอบคุณสำหรับเวทีของสมาคม ATSI ในงาน 0110 ที่เปิดโอกาส ให้คนตัวเล็กๆ ในองค์กร/หน่วยงานที่กล้าใช้ซอฟต์แวร์ที่เขียนและทำโดยคนไทย ได้มีโอกาสรับรางวัลอันทรงคุณค่าและน่าจดจำเช่นนี้

การกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ต้องให้โอกาสคนในชาติได้ทำก่อน

ขอคาระผู้จัดงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ที่ได้ทุ่มเทให้เกิดงานเช่นนี้ในประเทศ

เป็นกำลังใจเสมอ

Nontawatt S

06/11/62

“Smart City เริ่มต้นที่ผังเมือง ”

ที่ Wurzburg มีประสาทเก่าตั้งบนเขา ห่างจากเมืองเวิร์ซบวร์ก (Wurzburg) ระยะทาง 200 ก.ม. ไปทางตอนเหนือของแคว้นบาวาเรีย

ชื่อ Schlosshotel Steinburg เป็นปราสาทเก่าที่มาทำเป็นโรงแรม และอยู่บนเขา

รถเราได้เดินทางไปที่นั้น เส้นทางผ่านสองข้างทางมีทั้งทุ่งทานตะวัน และ ไร่องุ่น อุดมไปด้วยธรรมชาติ เมื่อถึงจุดชุมวิวที่อยู่ในปราสาทจะเห็นเมือง สะพาน แม่น้ำ โรงเรียน สนามฟุตบอล และโบสถ์ ซึ่งผ่านการวางแผนผังเมืองเป็นอย่างดี เราสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากจุดนี้

ยิ่งช่วงที่เรายืนอยู่นี้ พระอาทิตย์กำลังตกพอดี ลมพัดเย็นกำลังดี สัมผัสได้ถึงความสงบเย็น มองไปสุดขอบฟ้ามองเห็นแสงพระอาทิตย์ที่กำลังลับจากไป เป็นสัญญาณบอกว่าชีวิตเรากำลังหมดไปอีกวัน

และคืนนี้เราพักกันที่นี้ Schlosshotel Steinburg บรรยากาศดี น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง ปราสาทนี้ถือว่าอยู่ในแคว้นบาวาเรีย ขึ้นชื่อด้วยความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรม ยุคกลางแบบย่านเมืองเก่าของประเทศเยอรมันแห่งหนึ่ง

: 14/09/62 ที่ผ่านมา

ปล. ผังเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ออกแบบดี ไม่มั่ว น้ำไม่ท่วมง่ายๆ อย่าไปคิดแต่ smart city ต้องมีแต่เทคโนโลยี มาใช้อย่างเดียวเลย มีอีกหลายมุมที่ทำให้เป็น smart city

บรรยาย Cyber Insurance ให้กับทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

วันที่ 14 ธันวาคม 2562 นายนนทวัต์ สาระมาน ได้มาบรรยาย Cyber Insurance และ Security Awareness ให้กับทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อให้ความรู้ด้าน Cybersecurity กับพนักงาน คปภ. ที่โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา

รับรางวัลผู้ใช้ซอฟต์แวร์ไทย Digital Entrepreneur Awards

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 คุณนนทวัตต์ สาระมาน ได้รับเกียรติเข้าร่วมงานประกาศรางวัลผู้ใช้ซอฟต์แวร์ไทย ATSI Digital Entrepreneur Awards ซึ่งเป็นเวทีสำหรับองค์กรที่กล้าเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทย ในงาน OIIO Thailand Techland 2019 จัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (ATSI) เพื่อเชิดชูเกียรติให้กับลูกค้าที่เลือกใช้ซอฟต์แวร์ไทย องค์กรที่ได้รับรางวัล ประกอบด้วย

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้รับรางวัลชนะเลิศ กลุ่มองค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยเลือกใช้ระบบ SRAN NetApprove รุ่น NG200
บริษัท เจเอสเอสอาร์ อ๊อกชั่น จำกัด ได้รับใบประกาศเกียรติคุณการใช้ซอฟต์แวร์ไทย โดยเลือกใช้ระบบ SRAN NetApprove รุ่น NG100 และรุ่น NG50

  1. บริษัท โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1999) จำกัด (มหาชน) ได้รับใบประกาศ เกียรติคุณการใช้ซอฟต์แวร์ไทย

โดยเลือกใช้ระบบ SRAN Log Module LM50

“ทุนนั้นเป็นมายา ปากท้องเป็นของจริง”

“ทุนนั้นเป็นมายา ปากท้องเป็นของจริง”

หากเปรียบเทียบ ถนนกับ 5G เราสามารถแยกองค์ประกอบได้ดังนี้

  1. ถนน คือ คลื่นความถี่ 5G อันมีเส้นทางถนนนี้ไปทั่วประเทศ เป็นถนนที่กว้าง มีช่องทางทำความเร็วที่สูงขึ้นกว่าเดิม
  2. อิฐหินปูนทรายที่ก่อสร้างเป็นเส้นทางถนน คือ ระบบ Network อันเป็นโครงสร้างพื้นฐาน
  3. รถที่วิ่งบนถนน คือ อุปกรณ์ Devices/ Sensor/ IoT
  4. พฤติกรรมการขับของแต่ละคัน และในแต่ละช่องทาง คือ Data

จากข้อ 1 ถึง 4 รวมเป็น Ecosystem ใหม่ที่มาพร้อมกับระบบ 5G แบบแกะออกจากกันไม่ได้ **

และจาก 1–4 มีข้อไหนอยู่ในประเทศไทย และข้อไหนบ้างที่ไม่อยู่ในประเทศไทย ? ผมถามทุกคนที่เข้าฟังงานเสวนาโดยไม่เฉลย

5G ในความคิดผมคือ จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง. ทั้งธุรกิจ และการใช้ชีวิตของผู้คน

ทำให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบขึ้น จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อใช้เทคโนโลยี. 5G. และ Next G เป็นต้นไป.

ที่กล่าวเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากมนุษย์ได้มีบทเรียนจากคำว่าทุนตั้งแต่ยุคปฎิวัติอุตสาหกรรม 1–4 เป็นต้นมาที่การทำงานเป็น Routine ว่าการผลิตต้องโต ขายได้ในปริมาณมาก ต้องได้กำไรต่อเนื่อง ในทุกปีกำไรต้องก้าวกระโดด บริษัทที่ทำ นั้นต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ SET ตลาดทุน มาลงเงินในบริษัท ต้องมี VC มาลงทุนโดยใช้เงินในอนาคตมาลง

ซึ่งนั้นเป็นเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

อันเป็นหนทางสู่กับดักแห่งทุน ซึ่งบริษัทที่ติดกับดักนี้ จะทำทุกวิถีทางให้ตัวเลขทางบัญชีออกมาดีเสมอเมื่อสำเร็จจะรีบ Exit ออกโดยการขายและควบรวมกิจการทั้งสิ้น

ในยุคถัดไป เมื่อคนมีภูมิฯมากขึ้น Routine นั้นจะเปลี่ยนไป ในความคิดผมนั้น เทคโนโลยี 5G (ขึ้นไป) จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ความคิดเดิมรวมถึง Business Ecosystem ใหม่จากเป็นการรวมศูนย์ (centralization ) ในอดีต จะถูกเปลี่ยนเป็นแบบกระจาย (distribution) ไปสู่ชุมชน สู่ท้องถิ่น อันเป็นที่เกิดและเป็นบ้านเกิดของเราเอง มีเวลาเป็นมนุษย์และแสวงหาความจริงของชีวิตมากขึ้น

ซึ่งนำไปสู่ Micro providers โดยทั้งหมดนี้ผมขอใช้ศัพท์ว่า “Local citizen transformation” โดยมี People Centric อันก่อให้เกิด “สังคมพึ่งพาตัวเองได้” ในที่สุด

เป็นสังคมที่ ทุกคนถวิลหาโดยมีเทคโนโลยี Cloud Distribution มี AI และ Autonomus things ทำงานอยู่ฉากหลัง นำพาความถูกต้อง และความเป็นธรรม ก่อให้เกิดความพอเพียง ของเศรษฐกิจ (ตนเอง)

ชีวิตและความเป็นอยู่ในชุมชนที่เข้มแข็งโดยใช้เทคโนโลยี 5G และต่อจากนี้เป็นต้นไป

จากจุดเล็กๆ นี้ทำให้ชีวิตมีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งพาทุนแห่งมายาต่อไป ….(10 ปีนับจากนี้เป็นอย่างน้อย)

“มีความเป็นได้แค่ไหน ? หากอเมริกา ระงับสิทธิการใช้งาน Google ในประเทศไทยสัก 1 เดือน และอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง”

ส่วนหนึ่งที่ผมได้ฝากประเด็นไว้ ในงานเสวนา เรื่อง

ยุค 5G โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่ จะเป็นทางรุ่ง หรือทางร่วงธุรกิจดิจิทัลประเทศไทย จัดขึ้นในงาน Thailand Digital Bigbang 2019 เมื่อวันจันทร์ ที่ผ่านมา ในงานไม่ได้บอกละเอียด แต่แค่ให้รับทราบว่า อำนาจต่อรองเรามีมากแค่ไหน หากเราเป็นผู้ใช้อย่างเดียว

ผลกระทบ อย่างน้อยดังนี้

  • ขับรถหลงทางได้
  • – Application บางอย่างที่มีการใช้เชื่อม API กับ google หยุดการใช้งาน ส่งผลกระทบระดับธุรกิจ
  • – IoT devices ที่เขียนเชื่อม Cloud Google ทำงานได้ฝั่งเดียว ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน
  • – ค้นหาข้อมูลแบบเคยชินไม่ได้ แบบที่คิดว่า “นึกอะไรไม่ออกถามพี่ Goo” ไม่ได้เสียแล้ว
  • – ไฟล์เอกสาร google drive เอกสารทั้งสำคัญและไม่สำคัญ ของภาคเอกชน และ รัฐบาล เข้าไปใช้ไม่ได้
  • – อื่นๆ โพลสำรวจ ภาพ เสียง เอกสาร แปลภาษา หยุดการใช้งานชั่วคราว
  • เพิ่มเติม** E-mail ที่ใช้เกือบทั้งหมด ส่วนบุคคล บริษัท … และ app ที่ใช้สมัครผ่าน gmail ไปหมดใช้งานไม่ได้

รวมๆ แล้ว โครงสร้างพื้นฐานในประเทศ กระทบได้อย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง

ในงานเสวนาครั้งนี้ ผมได้บอกเสมอว่า 5G ไม่ใช่คลื่นอย่างเดียว “มาพร้อมกันแบบแกะกันไม่ออก” ระหว่าง (1) คลื่น, Network, Devices IoT Sensor, (4) Data

ทั้ง 4 ส่วนมาพร้อมกัน ใน 5G

และ 4 ส่วนนี้ อันไหนอยู่ในประเทศไทยบ้าง อันไหนไม่ได้อยู่ในประเทศไทยบ้าง ลองไปคิดดู

เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ผมได้กล่าวในงาน

เสวนาเรื่อง “ยุค 5G โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่ จะเป็นทางรุ่ง หรือทางร่วงธุรกิจดิจิทัลประเทศไทย”

จัดโดยสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ TCT ที่ได้รับเกียรติเชิญทางสภาดิจิทัลฯ

ต้องขอขอบคุณทางสภาดิจิทัลฯ ที่ให้โอกาสผมเป็นตัวแทนร่วมเสวนา และได้แสดงความคิดเห็นนี้ ซึ่งอาจจะเป็นมุมที่เห็นต่าง

ในงานนี้มีรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ท่านวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ ผอ.อาวุโส บจก.หลักทรัพย์กสิกรไทย. ร่วมเสวนาโดยมี อ.สืบศักดิ์ เป็นพิธีกร. ช่วงบ่ายในวันที่ 28 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา

Nontawatt Saraman

SRAN

29/10/62

โครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ หลักสูตรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับธุรกิจดิจิทัล (Cyber Security for Online Business)

 โครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ หลักสูตรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับธุรกิจดิจิทัล (Cyber Security for Online Business)

คุณนนทวัตน์ สาระมาน เป็นวิทยากรบรรยายในโครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โดยเนื้อหาหลักสูตรมุ่งเน้นการพัฒนาและเติมเต็มศักยภาพบุคลากรระดับปฏิบัติการ, หัวหน้างานของสถานประกอบการด้านความมั่นคงสารสนเทศให้มีความเชี่ยวชาญและสมรรถนะ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในภาพรวมของประเทศ

ขอเชิญเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ ทุกวัน ศุกร์ – เสาร์
(27 กันยายน – 29 พฤศจิกายน 2562)
ระหว่างเวลา 09.00 – 17.00 น. ณ มหาวิทยาลัยศรีปทุม


Ecosystem ในภาคอุตสาหกรรมของโลกกำลังเปลี่ยน

Ecosystem ในภาคอุตสาหกรรมของโลกกำลังเปลี่ยน
ปีหน้าจะเห็นว่าเกือบทุกอย่างที่เราเห็นในรอบ 10 ปี จะเปลี่ยนโฉม ไม่ต่างกับยุคสมัยที่เรามีไฟฟ้าใช้ใหม่ ที่ไฟฟ้าเข้ามาเปลี่ยนภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

“ยุคที่เราอยู่นี้ใกล้เคียงกับยุคที่เปลี่ยนจากไม่มีไฟฟ้าเป็นมีไฟฟ้า”

แค่เปลี่ยนไฟฟ้า เป็นคำว่า Platform ที่มีทั้ง Big Data และ AI เป็นตัวเปลี่ยนโฉม

เราจะอยู่รอดได้อย่างไร นี้คือคำถาม ?
การอยู่รอดของเรา ต้องเข้าใจถึง Ecosystem ใหม่
Ecosystem ใหม่ จะต้องพิจารณา 3 ส่วน
ส่วนที่เป็น คน
ส่วนที่เป็น เทคโนโลยี
ส่วนที่เป็น เศรษฐกิจ

ปัจจุบันทุกอุตสาหกรรม ต้องมีเทคโนโลยีและดิจิทัลมาเกี่ยวข้อง ต้องมีข้อมูลมาเกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นอยู่ไม่ได้
หากจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อสร้าง Ecosystem เองขึ้นมา ซึ่งจะเป็นที่ยอมรับเฉพาะกลุ่มที่เข้าใจคุณเท่านั้น

** เฉพาะตอนนี้เรามากล่าวเพียงเรื่องเทคโนโลยี

เกมส์เปลี่ยนเพราะ Network TCP/IP ไปเป็น Cloud เชื่อมต่อกันเป็น Infrastructure ซึ่งเหล่านี้อยู่ในประเทศไทยน้อยมาก ถึงน้อยที่สุด คำถามทำไมอยู่ที่เราน้อยมาก?
เพราะเราไม่มี Platform ที่มีการใช้งาานในชีวิตประจำวัน

ฉะนั้นหากเทียบเพื่อให้เห็นภาพขึ้น
ในยุคที่เริ่มมีการผลิตไฟฟ้า เทียบกันไปกับระบบใหม่
ศูนย์กลางการผลิตส่วนใหญ่อยู่ใน Local คืออยู่ในประเทศ
แม้ยุคที่ Internet มา ศูนย์กลางก็ยังอยู่ในประเทศ Local คืออยู่ที่ ISP

เมื่อ Internet เชื่อมสรรพสิ่ง หรือ IoT ศูนย์กลางจะเปลี่ยน
ไปอยู่ที่ Cloud ซึ่งตอนนี้แหละ ! ที่ไปอยู่ต่างประเทศแล้ว

ส่วนสำคัญ Ecosystem ใหม่เกิด นั้นคือ “ข้อมูล”

ข้อมูลถูกวิ่งผ่าน Internet และข้อมูลถูกกระจายผ่าน Cloud และ Cloud ก็เป็น Data Center ขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วย OS, Hardware, Server, Software โดยทำงานต่อเนื่อง รวมเรียกว่า Infrastructure และหากมี application ที่ on บนนี้ก็รวมเรียก platform ตามมา

และส่วนใหญ่ Platform ที่ใช้ในชีวิตประจำวันเราทุกคน ล้วนแต่ประมวลผลและมี Infrastructure อยู่ต่างประเทศ

ทั้งที่ประเทศเรามี Infrastructure มี Data Center ที่มีมาตรฐาน ทำไมยังสามารถเข้าถึง Ecosystem ใหม่ได้

เป็นเพราะเราไม่มี platform ที่มีผลต่อชีวิตประจำวัน
แล้วทำไมเราไม่มี platform ทั้งที่เราส่งเสริม Startup และพัฒนา Application กันเกือบทุกหน่วยงาน

คำตอบคือ ระบบที่อยู่หลังบ้าน และหลัง Data Center ไปอีกนั้น ที่มีการเชื่อมโยงโปรแกรมและ ระบบ Network
โดยเฉพาะการบริหารจัดการข้อมูลในรูปแบบที่สร้างและกำหนดขึ้นเองนั้นแหละที่เราขาด

ขาดที่สุดคือ ขาดคนที่เข้าใจจุดที่ระบบหลังบ้าน Data Center เพื่อจัดเก็บ วิเคราะห์ บริหารจัดการ ข้อมูล ให้พร้อมใช้งาน ส่วนนี้มีน้อยเกินไปในการขับเคลื่อน

ลองถามทีม Dev โปรแกรมสิ ว่าเขาพัฒนาบน Data Center ในไทยหรือไม่ ? ส่วนใหญ่ ตอบว่า พัฒนาบน aws, azure, google, digitalocean, Line เป็นต้น ทำให้เราไปเพิ่มความฉลาดให้ Platform ที่มาพร้อม Infrastructure ในต่างแดนเสียหมด จนล้ำหน้าเป็น AI กลับมาหาเราและดึงเราไปสู่ Ecosystem ในเวทีเขานั้นเอง

*แล้วเราจะเป็นเพียงแรงงานราคาถูก ที่เป็นเพียงคนส่งของ รับของเท่านั้นเมื่อระบบมาครบแบบสมบูรณ์แบบ

การสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้คุยภาษาเดียวกันได้ เป็นจุดเริ่มต้นที่เราทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อให้อยู่รอดใน Ecosystem ใหม่ที่กล่าวมา

ปล. อันนี้ยังไม่พูดคน กับ เศรษฐกิจ
หลายคน เป็นห่วงเรื่อง หนี้ จาก Future เป็นอันมาก น่าจะใกล้ ceiling ล่ะ

ส่วนเรื่อง คน ที่เข้าสู่อีกยุคหนึ่ง ที่ up skill ไม่ทัน คนสูงอายุมากกว่าวัยแรงงาน

ดันมาพร้อมๆ กัน เลยสนุกล่ะทีนี้

Nontawatt Saraman

เขียนขยายจาก
http://nontawattalk.sran.org/2019/06/big-data.html
และ
http://nontawattalk.sran.org/2019/07/digital-balance.html

มายาเทค

มายาเทค กับประเทศไทย
“เศรษฐกิจถดถอย อุปทานหมู่ ที่เป็นจริง”
เหตุเพราะ เราเล่นกับ Future มากเกินไป

ในศาสนาพุธ กล่าวไว้ว่า “ให้ดำเนินชีวิตโดยอยู่กับปัจจุบัน” แต่หลายครั้งที่เรา ก็จะแย้งว่า ชีวิตเราต้องมีอนาคต และทุกคนที่มีลมหายใจอยู่ ก็ต้องการอนาคตที่ดีขึ้น
ด้วยเหตุปัจจัยที่กระตุ้นกิเลสของเราเอง ทำให้การรู้เท่าทันสถานะการณ์รอบข้างได้น้อยลง

“เราเล่นกับ Future มากเกินไป” ในส่วนประกอบของเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอยู่ ผมขอหยิบยกตัวอย่างสักเรื่อง อันได้แก่
ธุรกิจ e-Commerce เรากำลังเผชิญ “มายาเทค” ที่มาเป็น platform ข้ามชาติ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความเป็นอยู่ เจ้าใหญ่ที่มาฆ่ารายเล็กรายน้อย ที่ปรับตัวไม่ทันและทุนไม่ถึง ทำลายโครงสร้าง การตลาด ระบบขนส่ง และอื่นๆ ชนิดที่ทุกคนต้องถอยเพราะไม่สามารถเห็นสภาพขาดทุนแบบนั้น นานๆ ได้
เจ้าใหญ่ที่ active อยู่คือ Lazada และ Shopee ยังไม่พบคำว่ากำไรมากว่า 3 ปี ล่าสุดปี 2018 ขาดทุนกว่า 4 พันล้านบาท รวมแต่เปิดมาเกือบหมื่นล้าน ซึ่งไม่แปลก ที่ต่างธุรกิจก็ต้องมีจุด ROI
ซึ่งชุดความคิดนี้ ถึงมีความเสี่ยงผู้เล่นในไทยก็ยอมสู้ เป็นทีมงานขั้นเทพก็ว่าได้แต่สู้ข้ามชาติไม่ได้ตรง ทุนที่หนาจ่ายแบบไม่อั้น ก็ต้องยอมกลุ่มจีน (Alibaba) จนในตลาดปัจจุบันของ e-Commerce ไทยมี active หลักเพียงแค่นี้ ยังไม่มีใครได้กำไรจากงานนี้ยกเว้น พวกที่ทำโลจีสติก อย่างเช่น Kerry เป็นต้น ที่กำไรงามและมีทีท่าว่าจะแซงรายใหญ่ในไทยเสียด้วย

E-commerce platform ขาดทุนเยอะขนาดนั้นทำไมยังคงทำธุรกิจต่อ ?
คำตอบคือ อยู่เพราะอนาคต
อีกทั้งจำนวนผู้ใช้งานกินประชากรมากขึ้น มีโอกาสคืนทุนได้ในไม่ช้า บริษัทโตขึ้น เงินหมุนเวียนจากบริษัทแม่ และธนาคาร เพื่อพยุงให้ทำธุรกิจต้องเดินต่อได้ …. (แบกกันต่อไปนะ Startup)

ด้วยการเล่น Future เกินไป ทำให้ Supply Chain ในประเทศไทย ทึ่ยังปรับตัวไม่ทัน จึงกระทบไปด้วย
และเมื่อแบกและเข็นกันไปไม่ไหว ก็ต้องหาทางลงแบบไม่เข้าเนื้อใคร (สร้างสกุลเงินใหม่มาล้างเลยไหม)

ไม่ต่างกับธุรกิจ Entertainment ก็เล่น Future เกินไป โดยเฉพาะธุรกิจ streaming online มาลักษณะเดียวกันคือ เป็น Platform ข้ามชาติ สะดวก ใช้งานไม่สะดุด เบื้องหลัง Infra ขนาดใหญ่ มิได้เพียงเสกขึ้นมาฟรี ทุกอย่างย่อมลงทุน และเป็นการลงทุนไม่น้อย ก็เป็นเช่น e-Commerce คือขาดทุนตลอด เพื่อต้องการได้มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และมาทำลาย Supply Chain ในประเทศ ที่ยังปรับตัวไม่ทัน

คำถามเมื่อไหร่ ธุรกิจเหล่านี้จะคืนทุน (ROI) ?
และเป็นเช่นนี้ Platform ข้ามชาติ เข้ามาให้คนติด ทำลาย Supply chain ที่หาเลี้ยงชีพเล็กๆน้อยๆ ของคนในชาติไป

และทั้งนี้ ยังไม่ร่วมกันกับ ธุรกิจอื่น ที่ใช้ นวัตกรรมเศรษฐกิจ ผ่าน platform เช่น อสังหาริมทรัพย์, รถยนต์ และการขนส่ง, การศึกษา พลังงาน การเงินและกลุ่ม Startup ที่ลงทุนกันเยอะเกินมูลค่า ซึ่งหากวิเคราะห์ให้ดี มีน้อยนักที่กำไร ส่วนใหญ่ “เล่นกับ Future เกินไป”

ด้วยเหตุนี้ย่อมกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจเรา ซึ่งมาในรูป “มายาเทค” นี้เอง

การก่อตัวของ “มายาเทค” ประกอบด้วย
(1) รูปแบบ platform ข้ามชาติ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี มี Cloud Infra มี app ที่เข้าถึงง่าย พร้อมทำ Big data ต่อยอดเป็น AI ได้ –>
(2) ปั้มเงินจากนอกประเทศแบบไม่อั้นเพื่อเข้าแทนที่ระบบเดิม –>
(3) คนใช้งานแล้วติด จนต้องใช้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน –>
(4) ทำลายโครงสร้าง เดิมบนห่วงโซ่ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทัน เข้าแทนที่ อุปสงค์ อุปทาน ที่อ่อนแอ ของคนในชาติ

รวม (1) ถึง (4) ขอนิยามส่วนตัวว่า “มายาเทค”
และมายาเทคนี้แหละ ที่เราภาคภูมิใจหนักหนา กลัวตกยุคดิจิทัลกัน ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่เราใช้อยู่เป็นเพียงเปลือก มิใช่แก่น

ภาพ สรุปปรากฎการ์ณมายาเทค 

ปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจ มันเกิดขึ้นในขั้นตอนที่ (2) ปั้มเงินออกมาไม่อั้น นี้แหละ ที่เรียกว่า เล่นกับ Future เกินไป ต่างชาติที่ลงเงินอยู่ได้ แต่โครงสร้างการค้าขายในชาติไทยจะออกอาการเสียมากกว่าได้และโทษเศรษฐกิจแย่ ตามระเบียบ

เงินที่ปั้มขึ้นมาเพื่อพยุงธุรกิจ platform ข้ามชาติ(จีน และอเมริกา) นี้แหละ มีผลกระทบกันและกันผลพ่วงจากสิ่งนี้ย่อมเกิดกับสิ่งนี้
เป็นไปตามกฎปฏิจจสมุปบาท ที่อุปมาอุปไมยดังว่า

“สรรพสิ่งยืมตัวเองมาจากการมีอยู่ของสิ่งอื่น เช่นเดียวกันกับ ในทะเลมีสายฝน ในหยาดฝนมีทะเลกว้าง ละอองไอในก้อนเมฆ แท้จริงแล้วคือท้องทะเลที่กำลังเดินทาง เมื่อเราเห็นฝนก็คือเห็นทะเล เห็นทะเลก็คือเห็นฝน” (จากการบรรยาย เรื่องสุญญตา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล 2549)

ฉันใด เมื่อก้อนเมฆคือหนี้สินก้อนโต ไม่นานต้องเทเป็นฝนลงสู่ท้องทะเลเป็นแน่แท้ และด้วย
ทุกอย่างเชื่อมและกระทบซึ่งกันและกัน เป็น “butterfly effect” แน่นอนกระทบไปหมด (รวมทั้งฮ่องกงก็เป็นได้ : P)

เงินที่ปั้มออกเพื่อสร้าง Platform ข้ามชาติ ต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดสุดถนนวิทยุ(เปรียบเทียบ) เพื่อรองรับ Big data และ AI ที่เราชื่นชมกัน

เงินที่ปั้มออกเพื่อพยุงธุรกิจให้ eyeball จำนวนมากเพียงเพื่อให้ app ติดตลาด เมื่อคนติด app จะได้ข้อมูล Big data และพฤติกรรมบริโภคจากเราไปทั้งสิ้น

เพราะตัวเราเอง….ที่เล่นกับ Future มากเกินไป

“มันเป็นเพียง มายาเทค ไม่ต้องตามให้ทันทั้งหมดเราก็อยู่ได้ (จริงไหม)

โปรดอยู่กับปัจจุบัน และรู้เท่าทัน ทุกอย่างมีทางออก
ด้วยความหวังดี

Nontawatt S
20/08/62