Zero day exploit ตอนที่ 2

รูปแบบการโจมตีและเทคนิคที่ใช้ใน Zero Day Exploit

ผู้โจมตีที่ใช้ Zero-Day Exploit มักประยุกต์ใช้เทคนิคขั้นสูงหลายอย่างในการเจาะระบบเป้าหมาย เพื่อให้การโจมตีสำเร็จลุล่วงแม้ระบบจะมีมาตรการป้องกันอยู่บ้าง เทคนิคสำคัญที่พบได้บ่อยในการโจมตีซีโร่เดย์ ได้แก่:

  • Code Injection (การฉีดโค้ดร้ายลงในระบบ) – เป็นเทคนิคที่ผู้โจมตี “ฉีด” หรือฝังโค้ดที่เป็นอันตรายเข้าไปในกระบวนการทำงานของโปรแกรมเป้าหมาย โดยอาศัยช่องโหว่ที่โปรแกรมนั้นประมวลผลข้อมูลภายนอกไม่รัดกุม ทำให้ข้อมูลดังกล่าวถูกตีความเป็นคำสั่งให้รันได้​เมื่อโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีจะสามารถสั่งให้ระบบรันโค้ดที่ตนต้องการได้ เช่น ฝัง shellcode (ชุดคำสั่งระดับต่ำที่ให้เครื่องรันโดยตรง) เพื่อให้ระบบเปิดช่องเชื่อมต่อกลับไปยังผู้โจมตีหรือติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติม ตัวอย่างการโจมตีแบบ Code Injection ที่รู้จักกันดีคือ SQL Injection (ฉีดคำสั่ง SQL) และ OS Command Injection ซึ่งแม้ไม่ใช่การโจมตีระดับระบบปฏิบัติการโดยตรง แต่หากช่องโหว่นั้นเป็น Zero-Day (เช่นยังไม่เคยถูกค้นพบ) ก็ถือเป็น Zero-Day Exploit ในบริบทของแอปพลิเคชันนั้น ๆ ได้เช่นกัน
  • Return-Oriented Programming (ROP) – ROP เป็นเทคนิคการโจมตีหน่วยความจำขั้นสูงที่คิดค้นขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงมาตรการป้องกันอย่าง DEP/NX (Data Execution Prevention) ที่ป้องกันไม่ให้รันโค้ดบนหน่วยความจำบางส่วน ROP ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดที่ต้องการได้ แม้ในสภาพแวดล้อมที่เปิดใช้การป้องกันดังกล่าว​ วิธีการคือผู้โจมตีจะอาศัยช่องโหว่ (มักเป็นบัฟเฟอร์ล้นบนสแตก) เพื่อควบคุม call stack หรือตัวชี้กลับของโปรแกรม จากนั้นเปลี่ยนทิศทางการทำงานของโปรแกรมให้ไปทำงานตามชุดคำสั่งสั้น ๆ ที่มีอยู่แล้วในหน่วยความจำของโปรแกรมหรือไลบรารี (เรียกว่า “gadgets”) ซึ่งชุดคำสั่งเหล่านี้ลงท้ายด้วยคำสั่ง return ทำให้สามารถเชื่อมต่อกันเป็นลำดับการทำงานต่อเนื่อง เมื่อเชื่อม gadget หลาย ๆ อันต่อกัน ผู้โจมตีจะสร้างชุดคำสั่งที่ทำงานตามต้องการได้ แม้จะไม่สามารถฝังโค้ดใหม่ลงไปตรง ๆ กล่าวได้ว่า ROP ทำให้ผู้โจมตี “ต่อจิ๊กซอว์” คำสั่งที่มีอยู่แล้วให้กลายเป็นเพย์โหลดอันตราย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการข้ามผ่านการป้องกันหน่วยความจำอย่าง DEP หรือการเซ็นรับรองโค้ด​
  • Heap Spraying – เป็นเทคนิคสนับสนุนการโจมตี (spraying คือการ “พ่น”) ซึ่งมักใช้ร่วมกับช่องโหว่หน่วยความจำ โดยผู้โจมตีจะพยายามจองหน่วยความจำกอง (heap) จำนวนมากและเติมค่าไบต์ตามต้องการลงไป เพื่อเพิ่มโอกาสให้ข้อมูลเพย์โหลด (เช่น shellcode) ถูกวางอยู่ในตำแหน่งที่คาดเดาได้ในหน่วยความจำของกระบวนการที่ถูกโจมตี​ Heap Spraying ไม่ได้ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นเอง แต่ช่วยจัดสภาพหน่วยความจำให้เอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่อื่นได้ง่ายขึ้น กล่าวคือในระบบที่มีการป้องกันแบบสุ่มที่อยู่หน่วยความจำ (ASLR) หรือมีความไม่แน่นอนสูง ผู้โจมตีจะใช้การพ่น heap เพื่อสร้าง NOP sled ขนาดใหญ่ (ชุดของคำสั่ง NOP หรือชุดไบต์ที่ทำให้โปรแกรมข้ามไปจนเจอโค้ดจริง) ทำให้การคาดเดาตำแหน่งของโค้ดที่ฉีดลงไปง่ายขึ้นและลดโอกาสที่โปรแกรมจะล่มก่อนโจมตีสำเร็จ​ เทคนิคนี้เคยถูกใช้บ่อยในการโจมตีเว็บเบราว์เซอร์ช่วงปี 2005–2010 โดยเฉพาะในการโจมตี Internet Explorer หลายชุด ซึ่งทำให้แฮ็กเกอร์รุ่นใหม่สามารถสร้างเอ็กซ์พลอยต์ที่ได้ผลโดยดัดแปลงจากโค้ดพ่น heap เดิมเพียงเล็กน้อย​

นอกเหนือจากข้างต้น ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ผู้โจมตี Zero-Day ใช้ เช่น JIT Spraying (เจาะจงการพ่นหน่วยความจำใน JIT compiler), Control Flow Hijacking แบบอื่น ๆ (เช่นใช้ Return-less Programming หรือ Jump-Oriented Programming หากสภาพแวดล้อมจำกัด ROP) หรือการใช้ Social Engineering ประกอบ (ในกรณีต้องหลอกให้ผู้ใช้เปิดไฟล์หรือลิงก์ที่มีเพย์โหลด 0-day) เป็นต้น การโจมตีเป้าหมายที่มี Zero-Day อาจเป็นแบบ “zero-click” (ไม่ต้องอาศัยการคลิกของเหยื่อ เช่น ช่องโหว่ใน iMessage ที่ถูกกระตุ้นโดยข้อความที่ได้รับ) หรือ “one-click” (ต้องหลอกให้เหยื่อคลิก เช่น เปิดไฟล์เอกสารที่ฝังเอ็กซ์พลอยต์) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของช่องโหว่

หนึ่งในเหตุการณ์ Zero-Day ที่เป็นข่าวใหญ่ต้นปี 2021 คือการโจมตีเซิร์ฟเวอร์อีเมล Microsoft Exchange ผ่านชุดช่องโหว่ที่เรียกรวมกันว่า “ProxyLogon” ผู้โจมตี (เชื่อว่าเป็นกลุ่มแฮกเกอร์จีนชื่อ Hafnium) ใช้ช่องโหว่ที่ยังไม่มีแพตช์ใน Exchange Server เพื่อเจาะระบบขององค์กรทั่วโลกหลายหมื่นแห่ง

รายละเอียดช่องโหว่และการโจมตี: ProxyLogon ประกอบด้วยช่องโหว่หลัก 2 รายการ ได้แก่ CVE-2021-26855 (ช่องโหว่ Server-Side Request Forgery – SSRF) ที่ช่วยให้ผู้โจมตีจากระยะไกลสามารถส่งคำขอเข้าสู่ระบบ Exchange โดยปลอมตัวเป็นผู้ดูแลระบบ (bypass authentication) ได้ และช่องโหว่ CVE-2021-27065 ซึ่งเป็นช่องโหว่ post-auth ที่อนุญาตให้เขียนไฟล์ลงเซิร์ฟเวอร์แบบตามใจชอบ​

เมื่อนำสองช่องโหว่นี้มาใช้ร่วมกัน ผู้โจมตีซึ่งยังไม่ยืนยันตัวตนเลยก็สามารถรันคำสั่งใด ๆ บนเซิร์ฟเวอร์ Exchange ได้ผ่านพอร์ต 443 ที่เปิดไว้ (SSL HTTPS)​

ผลลัพธ์คือการเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์อีเมล เป้าหมายการโจมตีมักเป็นการติดตั้งเว็บเชลล์ (Web Shell) เพื่อขโมยอีเมลหรือกระจายตัวโจมตีในเครือข่ายต่อไป

ผลกระทบ: ช่องโหว่ ProxyLogon นี้ถูกใช้โจมตีแบบกว้างขวางก่อนที่ Microsoft จะออกแพตช์แก้ไขในเดือนมีนาคม 2021 รายงานจากบริษัทความปลอดภัย ESET ระบุว่าในช่วงมีนาคม 2021 (ช่วงที่ช่องโหว่นี้ยังเป็น 0-day) มีอย่างน้อย 10 กลุ่มแฮ็กเกอร์ ที่ต่างก็ใช้ ProxyLogon ในการโจมตีระบบองค์กรทั่วโลกพร้อม ๆ กัน​

แม้ภายหลัง Microsoft จะรีบปล่อยแพตช์ฉุกเฉิน (out-of-band) มาอุดช่องโหว่ แต่หนึ่งสัปดาห์ถัดมายังพบว่ามีเซิร์ฟเวอร์ Exchange กว่า 46,000 เครื่อง ที่ไม่ได้ติดตั้งแพตช์ จึงยังคงเสี่ยงต่อการถูกเจาะด้วย ProxyLogon​ แสดงให้เห็นถึงความร้ายแรงและแพร่หลายของช่องโหว่นี้

การตอบสนอง: Microsoft ได้ออกชุดอัปเดตแก้ไขด่วนเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2021 พร้อมทั้งแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตโดยทันที นอกจากนี้ยังเผยแพร่สคริปต์และเครื่องมือสำหรับตรวจสอบการติดตั้งเว็บเชลล์หรือร่องรอยการบุกรุกบน Exchange (เช่น Microsoft Safety Scanner และสคริปต์ตรวจหา ProxyLogon)​​ เหตุการณ์ ProxyLogon ถือเป็นการปลุกวงการด้านความปลอดภัยว่าเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรก็อาจตกเป็นเป้า Zero-Day ของกลุ่ม APT ได้ และนำไปสู่การยกระดับมาตรการป้องกัน Exchange รวมถึงการเฝ้าระวังช่องโหว่อื่น ๆ ที่คล้ายกัน (ถัดมาในปีเดียวกันก็มีการค้นพบช่องโหว่ “ProxyShell” และ “ProxyOracle” ใน Exchange เช่นกัน ซึ่งแม้จะไม่ใช่ 0-day แต่ก็อันตรายสูง)

กรณี Apple iOS “FORCEDENTRY” – ช่องโหว่ iMessage Zero-Click (ปี 2021)

อีกตัวอย่างของ Zero-Day ที่โด่งดังในช่วงปี 2021 คือช่องโหว่แบบ Zero-Click บนระบบ Apple iOS ที่ถูกใช้โดยสปายแวร์ Pegasus ของบริษัท NSO Group ช่องโหว่นี้ถูกเรียกชื่อว่า FORCEDENTRY และได้รับรหัส CVE-2021-30860

รายละเอียดช่องโหว่และการโจมตี: FORCEDENTRY เป็นช่องโหว่ในระบบ Apple iMessage ซึ่งเกิดจากจุดบกพร่องในชุดไลบรารีการประมวลผลภาพของ Apple (Image Rendering Library) กล่าวคือ การประมวลผลไฟล์ภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมุ่งร้ายสามารถทำให้เกิดการรันโค้ดได้โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์จากผู้ใช้ (zero-click exploit)​ กลุ่มนักวิจัย Citizen Lab ได้ตรวจพบช่องโหว่นี้ขณะวิเคราะห์โทรศัพท์ของนักเคลื่อนไหวซาอุดิอาระเบียรายหนึ่งในต้นปี 2021 และพบว่ามือถือของเขาถูกติดตั้งสปายแวร์ Pegasus ผ่านช่องโหว่ iMessage ดังกล่าว โดยไม่มีการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ใด ๆ จากฝั่งเหยื่อเลย​​ เทคนิคที่ผู้โจมตีใช้คือส่งไฟล์แนบรูปภาพ (ลักษณะเป็นไฟล์ GIF แต่แท้จริงฝังโค้ด PDF ชุดพิเศษ) ไปยังอุปกรณ์เป้าหมายผ่าน iMessage เมื่ออุปกรณ์ของเหยื่อได้รับข้อความ ข้อมูลภาพนั้นจะถูกประมวลผลโดยไลบรารี CoreGraphics ของ Apple และช่องโหว่ในไลบรารีนี้จะถูกกระตุ้น ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดเพื่อเจลเบรกเครื่องและติดตั้ง Pegasus ได้ทันที

ผลกระทบ: ช่องโหว่ FORCEDENTRY มีอิทธิพลกว้างเพราะส่งผลต่ออุปกรณ์ Apple เกือบทุกประเภทที่ยังไม่ได้อัปเดตในช่วงเวลานั้น – ครอบคลุม iPhone ทุกรุ่นก่อน iOS 14.8, Mac ที่ระบบก่อน macOS Big Sur 11.6, และ Apple Watch ก่อน watchOS 7.6.2​ Citizen Lab เชื่อว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตี “อย่างน้อยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021” โดยกลุ่มลูกค้าของ NSO Group หลายราย เพื่อสอดแนมเป้าหมายระดับนักกิจกรรม นักข่าว และบุคคลที่น่าสนใจอื่น ๆ ทั่วโลก​​ ความร้ายแรงของมันทำให้ Google Project Zero ออกมาวิเคราะห์เจาะลึกและยกให้ FORCEDENTRY เป็นหนึ่งในเอ็กซ์พลอยต์ที่ซับซ้อนและรุนแรงมาก (“เป็นอาวุธไซเบอร์ที่แทบไม่มีทางป้องกันได้” ตามที่นักวิจัยของ Google กล่าวไว้)

การตอบสนอง: Apple ได้ออกอัปเดตฉุกเฉิน iOS 14.8, macOS 11.6 และชุดอัปเดตสำหรับ watchOS และ Safari ในวันที่ 13 กันยายน 2021 เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้ทันที​

พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนทำการอัปเดตอุปกรณ์โดยด่วน นอกจากนี้ Apple ยังเริ่มพัฒนาฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น BlastDoor sandbox สำหรับ iMessage เพื่อแยกการประมวลผลไฟล์แนบอันตรายไม่ให้กระทบระบบหลัก (แม้ BlastDoor เดิมมีอยู่แล้ว แต่กรณี Pegasus แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีหาวิธีหลบหลีกได้ จึงต้องปรับปรุงเพิ่มเติม) และในปี 2022 Apple ได้ประกาศฟีเจอร์ Lockdown Mode เพื่อให้ผู้ใช้ที่มีความเสี่ยงสูงสามารถเปิดโหมดรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ลดฟังก์ชันบางอย่าง (เช่น ปิดการรับไฟล์แนบ iMessage จากคนที่ไม่ได้ติดต่อมาก่อน) เพื่อป้องกัน Zero-Day ในลักษณะคล้ายกัน

กรณี Spyware บน Android – ห่วงโซ่ช่องโหว่ 0-day ของ “Predator” (ปี 2021)

ระบบปฏิบัติการ Android และเบราว์เซอร์ Chrome ก็มีกรณี 0-day โดดเด่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือการค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) เกี่ยวกับสปายแวร์เชิงพาณิชย์ชื่อ “Predator” (พัฒนาโดยบริษัท Cytrox) ที่ถูกขายให้รัฐบาลบางประเทศและใช้โจมตีเป้าหมายผ่านสมาร์ทโฟน Android โดยพึ่งพาช่องโหว่ 0-day หลายรายการร่วมกัน

รายละเอียดช่องโหว่และการโจมตี: รายงานของ Google TAG ระบุว่าในปี 2021 สปายแวร์ Predator ถูกใช้ในแคมเปญการโจมตี 3 รูปแบบ โดยมีการใช้ช่องโหว่ซีโร่เดย์ทั้งหมด 5 รายการ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ช่องโหว่ใน Google Chrome จำนวน 4 รายการ (CVE-2021-37973, CVE-2021-37976, CVE-2021-38000 และ CVE-2021-38003) และช่องโหว่ในเคอร์เนล Android 1 รายการ (CVE-2021-1048)​ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกแพ็กเป็นชุดเอ็กซ์พลอยต์โค้ดโดยบริษัท Cytrox และขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นรัฐ ในประเทศต่าง ๆ เช่น อียิปต์ กรีซ สเปน อินโดนีเซีย เป็นต้น เพื่อนำไปใช้สอดแนมเป้าหมายภายในประเทศเหล่านั้น​ ลำดับการโจมตีที่พบคือ ผู้โจมตีส่งลิงก์เฉพาะทาง (one-time link) ไปให้เหยื่อทางอีเมลหรือข้อความลับ เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ (แคมเปญนี้เป็น one-click) ระบบจะนำเหยื่อไปยังโดเมนของผู้โจมตีซึ่งใช้ช่องโหว่ใน Chrome ทันทีเพื่อรันโค้ดหลบหนีออกจากเบราว์เซอร์ (Chrome sandbox escape) จากนั้นใช้ช่องโหว่ใน Android Kernel (CVE-2021-1048) ซึ่งเป็นบั๊ก Use-After-Free ในไดรเวอร์คอร์ของระบบ เพื่อยกระดับสิทธิขึ้นเป็น root ในเครื่องเหยื่อ ทำให้ติดตั้งตัวแพร่เชื้อ (implant) ลงในเครื่องได้อย่างถาวร​

ช่องโหว่ CVE-2021-38000 ใน Chrome ที่ถูกใช้เป็นหนึ่งในขั้นตอนโจมตีนี้ จัดเป็นช่องโหว่ด้านตรรกะ (logic flaw) ซึ่งช่วยให้สามารถเปิดแอปอื่นผ่าน Intent URL โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องยินยอม ส่งผลให้ Chrome บนเครื่อง Samsung Galaxy สามารถถูกบังคับให้เปิดหน้าเว็บใน Samsung Browser ได้ทันที (ถือเป็นการข้าม context การทำงาน)​

เมื่อผสานกับช่องโหว่อื่น ๆ ข้างต้น ผู้โจมตีจึงสามารถติดตั้งมัลแวร์ ALIEN/PREDATOR ลงในเครื่องเป้าหมาย ซึ่งทำงานอยู่ใน process ที่มีสิทธิ์สูง สามารถดักฟังเสียง บันทึกข้อมูล หรือซ่อนตัวเป็นเวลานาน

ผลกระทบ: กรณีของ Predator ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจำนวนมาก (Google TAG ระบุว่ากว่า 30 แห่ง) ที่พัฒนาและขายช่องโหว่ซีโร่เดย์หรือสปายแวร์ให้กับรัฐบาลทั่วโลก​

การมีห่วงโซ่ช่องโหว่ยาวถึง 5 รายการเพื่อเจาะอุปกรณ์สมัยใหม่อย่าง Android แสดงถึงระดับความซับซ้อนของภัยคุกคามสมัยใหม่ ซึ่งแต่เดิมเชื่อว่ามีเพียงหน่วยข่าวกรองของประเทศมหาอำนาจเท่านั้นที่ทำได้ แต่ปัจจุบันบริษัทเอกชนก็เสนอขายเทคโนโลยีนี้เป็นการค้า ในปี 2021 ถือเป็นปีที่มีสถิติโจมตีด้วย 0-day สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดย Google Project Zero รายงานว่าพบช่องโหว่ 0-day ที่ถูกใช้จริง (in the wild) ถึง 58 รายการ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนหน้า​

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่เริ่มระบุสถานะ “กำลังถูกโจมตี” ของช่องโหว่ในรายงานแพตช์ ทำให้มีข้อมูลต่อสาธารณะมากขึ้นว่าช่องโหว่ใดเป็น 0-day

การตอบสนอง: Google ได้ทำงานร่วมกับผู้ผลิต (เช่น Samsung ในกรณี Chrome/Android) เพื่ออุดช่องโหว่เหล่านี้ในการอัปเดตความปลอดภัยปลายปี 2021 นอกจากนี้ Google ยังแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ที่ตกเป็นเป้าหมายที่สามารถระบุได้ รวมทั้งเสริมการล่าช่องโหว่ 0-day ภายในผ่านโครงการอย่าง Project Zero และการเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย (เช่น เปิดใช้ Control Flow Integrity ใน Android 12 ขึ้นไปสำหรับโมดูลเคอร์เนล เพื่อลดโอกาสโจมตีด้วยเทคนิคหน่วยความจำ)

สวัสดี

Nontawatt.S

Zero day exploit ตอนที่ 1

ความหมาย Zero-day (0day)
หมายถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ผู้ผลิตยังไม่ทราบมาก่อน และยังไม่มีการออกแพตช์หรือวิธีแก้ไขรองรับช่องโหว่นั้น​

ดังนั้นผู้พัฒนามีเวลาศูนย์วันในการเตรียมแพตช์แก้ไขหลังจากช่องโหว่ถูกเปิดเผย (จึงเรียกว่า “ซีโร่เดย์”) ส่วน Zero-Day Exploit หมายถึงวิธีการโจมตีหรือโค้ดที่ผู้ไม่หวังดีใช้เพื่อเจาะระบบผ่านช่องโหว่ดังกล่าวก่อนที่จะมีการแก้ไขหรือแพตช์ออกมา​ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่ยังไม่มีใครรู้จักและยังไม่ได้รับการอุดช่องโหว่นั้นเพื่อจู่โจมเป้าหมาย

ลักษณะสำคัญของ Zero-Day Exploit คือเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงเนื่องจากไม่มีวิธีป้องกันที่เฉพาะเจาะจงในขณะโจมตี ผู้ใช้งานระบบอาจตกเป็นเป้าหมายได้แม้จะอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นรุ่นล่าสุดแล้วก็ตาม และโปรแกรมป้องกันไวรัสหรือระบบความปลอดภัยทั่วไปที่อาศัยลายเซ็นของมัลแวร์มักไม่สามารถตรวจจับการโจมตีชนิดนี้ได้ในทันที​​การโจมตีแบบซีโร่เดย์จึงอาจแฝงอยู่ในระบบเป็นเวลานานโดยไม่ถูกตรวจพบ เนื่องจากไม่ได้ทิ้งร่องรอยที่ตรงกับภัยที่รู้จักมาก่อน​

Zero-Day Exploit มักเกี่ยวข้องกับกลุ่มแฮ็กเกอร์ระดับสูงหรือภัยคุกคามขั้นสูงแบบต่อเนื่อง (APT) ซึ่งรวมถึงหน่วยงานรัฐหรือองค์กรข่าวกรองที่มีทรัพยากรสูง เนื่องจากต้นทุนในการค้นหาหรือซื้อช่องโหว่ใหม่เหล่านี้มีราคาสูงมาก ทั้งยังต้องใช้ทักษะในการพัฒนาเครื่องมือโจมตีช่องโหว่เหล่านั้นด้วย​

งานวิจัยของ RAND Corporation เคยระบุว่าผู้โจมตีที่มีความตั้งใจจริงสามารถหาซื้อช่องโหว่วันศูนย์ได้ในราคาที่เข้าถึงได้เสมอสำหรับเป้าหมายแทบทุกประเภท​

แม้กระนั้น ในโลกความเป็นจริงการโจมตีไซเบอร์ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยช่องโหว่ที่เป็นที่รู้จักและมีแพตช์แล้วมากกว่าที่จะใช้ช่องโหว่ซีโร่เดย์​ (เนื่องจากช่องโหว่ซีโร่เดย์มีจำกัดและมีค่าใช้จ่ายสูง)

ประเภทของ Zero Day Exploit

ช่องโหว่ที่ถูกใช้ใน Zero-Day Exploit มีหลายรูปแบบ สามารถจำแนกตามลักษณะทางเทคนิคของช่องโหว่หรือผลที่เกิดจากการโจมตีได้ ดังนี้:

  • ช่องโหว่หน่วยความจำ (Memory Corruption) – เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากจุดบกพร่องในการจัดการหน่วยความจำของโปรแกรม เช่น บัฟเฟอร์ล้น (Buffer Overflow), การใช้งานหน่วยความจำหลังคืนค่า (Use-After-Free), การอ่าน/เขียนนอกขอบเขต (Out-of-Bounds) หรือการล้นแบบจำนวนเต็ม (Integer Overflow) เป็นต้น ช่องโหว่กลุ่มนี้พบว่าถูกใช้ในเหตุการณ์โจมตีซีโร่เดย์บ่อยที่สุด ในปี 2021 มีการรายงานช่องโหว่ซีโร่เดย์จำนวน 58 รายการ และกว่า 67% เป็นช่องโหว่จากบั๊กหน่วยความจำประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว​ ช่องโหว่หน่วยความจำมักนำไปสู่อันตรายร้ายแรง เช่น การรันโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาตบนระบบเป้าหมาย (Remote Code Execution)
  • ช่องโหว่ด้านตรรกะหรือการออกแบบ (Logic/Design Flaw) – เป็นข้อบกพร่องในตรรกะการทำงานของโปรแกรมหรือการออกแบบระบบที่อาจไม่เกี่ยวกับหน่วยความจำ แต่เปิดช่องให้ผู้โจมตีดำเนินการในสิ่งที่ควรจะทำไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ช่องโหว่ CVE-2021-38000 ใน Google Chrome ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดด้านตรรกะที่อนุญาตให้มีการเรียกใช้งาน URL ภายนอกผ่าน Chrome โดยไม่ต้องได้รับการกระทำจากผู้ใช้ (zero-click) ผลคือผู้โจมตีสามารถบังคับให้เบราว์เซอร์เปิดลิงก์ไปยังแอปอื่น (เช่น Samsung Browser) โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว​ googleprojectzero.github.io ช่องโหว่ลักษณะนี้อาจถูกใช้เพื่อข้ามขั้นตอนการยืนยันตัวตน หรือหลีกเลี่ยงกลไกความปลอดภัยบางอย่างของระบบ (เช่น ตรวจสอบไม่ถูกต้อง, ละเมิดเงื่อนไขก่อนหน้า) ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิหรือเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่ควรเข้าถึง
  • ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ (Privilege Escalation) – ช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเพิ่มสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบสูงขึ้นกว่าที่ควร ตัวอย่างเช่น ช่องโหว่ในเคอร์เนลของระบบปฏิบัติการที่อนุญาตให้โค้ดที่รันในสิทธิ์ผู้ใช้ทั่วไป (user) สามารถยกระดับเป็นผู้ดูแลระบบ (admin/root) ได้ ช่องโหว่ประเภทนี้มักพบในลักษณะ Zero-Day เมื่อผู้โจมตีเจาะเข้าระบบด้วยวิธีหนึ่งได้แล้ว ก็จะใช้ช่องโหว่ยกระดับสิทธิเพื่อควบคุมระบบอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ช่องโหว่ยกระดับสิทธิยังรวมถึงช่องโหว่หลบหนีจาก Sandbox หรือ VM (sandbox escape) ซึ่งทำให้มัลแวร์ที่ถูกจำกัดอยู่ในสภาพแวดล้อมเสมือน หลุดออกมาทำงานบนโฮสต์จริงได้ เป็นต้น

นอกเหนือจากประเภทหลัก ๆ ข้างต้น ช่องโหว่ซีโร่เดย์อาจอยู่ในรูปแบบอื่นด้วย เช่น ช่องโหว่การตรวจกำหนดสิทธิ์ (Authentication/Authorization Flaw), ช่องโหว่การตรวจสอบข้อมูลนำเข้า (Input Validation Flaw) ตลอดจนช่องโหว่เฉพาะทางในแอปพลิเคชันเว็บ (เช่น SQL Injection, Cross-Site Scripting) ที่ยังไม่ถูกค้นพบ แต่โดยแก่นแท้แล้ว หากช่องโหว่นั้นไม่ถูกเปิดเผยและไม่มีแพตช์ ช่องโหว่ใด ๆ ก็สามารถนับเป็น Zero-Day ได้หากถูกนำมาใช้โจมตี

พบกันต่อไป

Nontawatt. S

Trinity Coin ความจริง ความดี และความงาม

Trinity Coin ความจริง ความดี และความงาม”

พันธุกรรม สายลับไซเบอร์ และบล็อกเชน

ในโลกที่ชีววิทยาและดิจิทัลกำลังผสานเป็นหนึ่งเดียว ทั้ง “ความจริง ความดี และความงาม” ต่างถูกท้าทายในทุกย่างก้าวของนวัตกรรม หนึ่งเหรียญสามคุณค่า—Trinity Coin—ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเชื่อมบล็อกเชนและไบโอเทค พร้อมเผชิญสายลับและกระสุนนิรภัยไซเบอร์ที่อาจพรากความหวังไปทุกเมื่อ ทว่าท่ามกลางเงามืดแห่งการโจมตี ยังมีแรงศรัทธาในคุณค่าที่แท้จริงจุดประกายให้โลกก้าวเดินต่อไป

จุดกำเนิดแห่งอุดมคติ
ณ รุ่งอรุณของศตวรรษใหม่ มีเมืองลับแลนามว่า “อัสมิตา” ถูกโอบกอดด้วยขุนเขาอันเงียบสงบและงดงาม อยู่กึ่งกลางระหว่างความฝันและความจริง ที่นี่ มหาวิทยาลัยแห่งวิศวกรรมชีวภาพและคอมพิวเตอร์มีชื่อเสียงเปล่งประกายราวอัญมณีในหมอกยามเช้า

ในห้องทดลองซึ่งปลีกวิเวกจากสายตาของผู้คน มีหญิงสาวคนหนึ่งนาม “เพียงรุ้ง” นักวิจัยชีวภาพผู้สรรค์สร้างนวัตกรรมให้โลก เธอค้นคว้าตามร่องรอยของเซลล์ชีวิต และเรียงร้อยรหัสพันธุกรรมเสมือนเธอแต่งกวีนิพนธ์ การทดลองในหลอดแก้วเคมีใต้แสงหรี่สลัว กลายเป็นเสียงสะท้อนถึงปริศนาการกำเนิดมนุษย์

ขณะเดียวกัน ในอีกตึกหนึ่งของมหาวิทยาลัย ธนาวิชน์ หนุ่มนักเขียนโปรแกรมผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยจินตนาการ กำลังละเลงโค้ดบนหน้าจอที่ส่องสว่าง ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียงรายเป็นชุดคำสั่ง ดูคล้ายบทกวีแห่งตัวเลข เขาต้องการสร้าง “สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)” บนเครือข่ายบล็อกเชน เพื่อรองรับแนวคิดลี้ลับอย่างหนึ่ง—เขาต้องการสร้าง “เหรียญคริปโต” ที่ถือกำเนิดจากสามแกนคุณค่า คือ ความดี (Goodness) ความงาม (Beauty) และ ความจริง (Truth)

print(“Begin Goodness, Beauty, and Truth Coin…”)

ธนาวิชน์พิมพ์บรรทัดแรกลงในหน้าจอ ราวกับจุดธูปแรกที่จะนำทางพิธีบูชาโลกดิจิทัล การเขียนโค้ดของเขาไม่ใช่เพียงการสั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงาน แต่เป็นการจารึกหลักการในรูปแบบที่สัมผัสด้วยหัวใจ

เส้นทางสู่บัลลังก์แห่งการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเค้าโครงของเหรียญทั้งสามถือกำเนิดเป็นโค้ดเบื้องต้น ธนาวิชน์จึงตั้งชื่อโครงการว่า “Trinity Coin” จุดมุ่งหมายมิใช่เพียงเพื่อหวังผลกำไรหรือเก็งค่า แต่เพื่อสานข้อคิดอันลึกซึ้งใส่ในโลกดิจิทัล ให้ผู้คนแลกเปลี่ยนและสะสมสิ่งที่เรียกว่า “ความดี ความงาม และความจริง” ดุจการเก็บรักษาแรงบันดาลใจไว้ในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์

function mintCoins(address _to, uint _amount) public {
** require(_amount > 0, “Amount must be greater than zero”);**
** // กำเนิดเหรียญด้วยความบริสุทธิ์จากใจ**
** balances[_to] += _amount;**
** emit Transfer(address(0), _to, _amount);**
}

ตัวอักษรโค้ดบนจอสะท้อนใจธนาวิชน์เป็นดนตรีอ่อนโยน เขาปรับนิยามของ Trinity Coin ให้มีสามฟังก์ชัน คือ mintGoodness(), mintBeauty(), mintTruth() แยกตามเจตนารมณ์ว่าใครจะสร้างเหรียญแห่ง “ความดี” “ความงาม” หรือ “ความจริง” ก็ได้ ตามวาระและศรัทธาของแต่ละบุคคล

ในห้องทดลองชีวภาพ เพียงรุ้งเองก็สาละวนกับโครงการปรับแต่งเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อทดลองสร้างเนื้อเยื่อทดแทนที่สมบูรณ์และเหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูร่างกายมนุษย์ งานของเธออาจดูห่างไกลจากโลกบล็อกเชน แต่แท้จริงแล้วคืออีกขั้นของการมุ่งหวังจะเปลี่ยนอนาคตของมนุษยชาติ

วันหนึ่ง ธนาวิชน์เดินผ่านช่องกระจกใสเห็นเพียงรุ้งกำลังจดบันทึกลงสมุด มือน้อย ๆ ของเธอแตะแสงไฟเหนือจานเพาะเลี้ยงเซลล์ด้วยความทะนุถนอม สายตาของเธอสะท้อนความมุ่งมั่นและบริสุทธิ์ เหมือนเขากำลังเห็น “ความดี” อย่างแท้จริง

ความร่วมมือ
เมื่อจิตใจทั้งสองได้ประสาน พวกเขาต่างค้นพบว่า โครงการคริปโตและโครงการชีวภาพต่างเรียกร้องความทุ่มเทและความรักในศิลปะของวิทยาศาสตร์เหมือนกัน

ในเช้าวันหนึ่ง เสียงนกขับขานประสานใบไม้พัดไหว เพียงรุ้งเดินมาหาธนาวิชน์ที่ห้องแล็บนักเขียนโปรแกรม เธอนำตัวอย่างเซลล์ที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมชิ้นล่าสุด พร้อมขอคำปรึกษาเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโค้ด ทั้งคู่ตัดสินใจจะรวมโครงการทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างเลือนราง และยังไม่รู้แน่ชัดว่าวิธีการเป็นเช่นไร แต่พวกเขารับรู้ว่า “ความจริง” ที่ต่างเสาะหานั้น อยู่ในมือร่วมกันอยู่แล้ว

“ถ้าเราสร้างระบบให้ผู้คนสามารถใช้เหรียญแห่งความดี ความงาม และความจริง แลกเปลี่ยนข้อมูลชีวภาพหรือขอทุนวิจัยเพื่อพัฒนาชีวิต นี่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการแพทย์โลกนะ” ธนาวิชน์เอ่ยตาเป็นประกาย

เพียงรุ้งพยักหน้า “ผู้ป่วยยากไร้ที่ไม่มีเงินรักษา ถ้าเขาได้เหรียญจากการได้รับ ‘ความดี’ จากชุมชน ก็อาจเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ ๆ ได้ มันเป็นรูปแบบที่สวยงาม—ความงามที่สร้างโดยน้ำใจมนุษย์”

“แล้วเราจะยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ยืนยันว่าการวิจัยต้องเป็น ‘ความจริง’ ไม่มีการบิดเบือน” ธนาวิชน์หยุดครู่ก่อนกล่าวต่อ “Trinity Coin จะประทับร่องรอยดิจิทัล ทั้งประวัติการทดลอง ประวัติทรานแซกชัน เราใช้ประโยชน์บล็อกเชนเป็นบันทึกประวัติศาสตร์แห่งความจริงไปด้วย”

โปรดติดตามตอนต่อไป

นนทวัตต์ สาระมาน

Markdown สำคัญกับ AI อย่างไร

Markdown มีความเกี่ยวโยงกับ AI และ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ในหลายมิติที่สำคัญ

ความเกี่ยวโยงระหว่าง Markdown กับ AI
  1. โครงสร้างข้อมูลที่ AI เข้าใจได้
    • Markdown สร้างโครงสร้างที่ชัดเจนด้วยหัวข้อ (#), หัวข้อย่อย (##) ทำให้ AI สามารถแยกแยะและเข้าใจลำดับความสำคัญของเนื้อหา
    • การจัดลำดับความสำคัญช่วยให้ AI ให้น้ำหนักกับข้อมูลที่สำคัญมากกว่า
  2. การเพิ่มความชัดเจนของบริบท
    • การใช้ตัวหนา ตัวเอียง การอ้างอิง และรายการแบบลำดับช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของข้อมูล
    • Code blocks (“`) ช่วยให้ AI แยกแยะข้อมูลที่เป็นโค้ดจากข้อความธรรมดา
  3. การรับส่งข้อมูลระหว่างมนุษย์และ AI
    • Markdown เป็นรูปแบบที่กลาง (neutral format) ที่ทั้งมนุษย์อ่านเข้าใจง่ายและ AI ประมวลผลได้ดี
    • AI มักแสดงผลลัพธ์เป็น Markdown เพื่อให้มนุษย์อ่านได้ง่าย มีการจัดรูปแบบที่ชัดเจน
  4. การจัดการแสดงผล
    • AI ใช้ Markdown ในการสร้างผลลัพธ์ที่มีการจัดรูปแบบ เช่น ตาราง รายการ หรือการเน้นข้อความสำคัญ
ความเกี่ยวโยงระหว่าง Markdown กับ RAG
  1. การเตรียมข้อมูลสำหรับฐานความรู้
    • เอกสารในฐานความรู้ของ RAG มักถูกจัดเก็บในรูปแบบ Markdown เพื่อรักษาโครงสร้างและการจัดรูปแบบ
    • โครงสร้างของ Markdown ช่วยให้ระบบการแบ่งช่วงข้อมูล (chunking) ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. การอ้างอิงและการเชื่อมโยง
    • Markdown สนับสนุนการใช้ลิงก์ที่ช่วยให้ RAG สามารถเชื่อมโยงระหว่างเอกสารในฐานความรู้ได้
    • การอ้างอิงแหล่งที่มาในรูปแบบ Markdown ช่วยให้ RAG สามารถแสดงแหล่งข้อมูลได้อย่างชัดเจน
  3. การแสดงผลข้อมูลที่ดึงมา
    • เมื่อ RAG ดึงข้อมูลจากฐานความรู้ การรักษารูปแบบ Markdown ช่วยให้ข้อมูลยังคงโครงสร้างและความหมายดั้งเดิม
    • ช่วยในการนำเสนอข้อมูลที่ดึงมาในรูปแบบที่อ่านง่ายและมีการจัดวางที่ดี
  4. การเตรียมข้อมูลสำหรับการสร้าง Vector Embeddings
    • โครงสร้าง Markdown ช่วยในการแบ่งเอกสารเป็นส่วนๆ อย่างมีความหมาย ก่อนที่จะแปลงเป็น vectors
    • หัวข้อและหัวข้อย่อยใน Markdown มักถูกใช้เป็นจุดตัดสำหรับการแบ่งช่วงข้อมูล (chunking boundaries)
  5. การผสานข้อมูลในขั้นตอน Generation
    • ในขั้นตอนการสร้างคำตอบ (Generation) ของ RAG, รูปแบบ Markdown ช่วยให้ระบบสามารถผสานข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าด้วยกันอย่างมีโครงสร้าง
    • ช่วยรักษาความชัดเจนของผลลัพธ์แม้ว่าจะนำข้อมูลมาจากหลายแหล่ง

โดยสรุป Markdown ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างข้อมูลที่มนุษย์สร้างกับระบบ AI และ RAG โดยรักษาโครงสร้าง ความหมาย และการจัดรูปแบบของข้อมูล ช่วยให้ทั้งกระบวนการนำเข้าข้อมูล การประมวลผล และการแสดงผลลัพธ์มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น

ขอบคุณ

Nontawatt Saraman

คณะสภาดิจิทัลฯ เข้าพบ สกมช.

วันที่ 18 ธันวาคม 2567 สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้รับฟังความคิดเห็นและภาพรวมการป้องกันภัยไซเบอร์จาก ท่านเลขธิการ สกมช.

เทคโนโลยี โทรมาตร Telemetry

เทคโนโลยีการตรวจวัดและส่งข้อมูลระยะไกล

1. บทนำเกี่ยวกับเครื่องโทรมาตร

เทคโนโลยีเครื่องโทรมาตร หรือ Telemetry เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในการตรวจวัดและรวบรวมข้อมูลจากสถานที่ที่อยู่ห่างไกล และทำการส่งข้อมูลเหล่านั้นไปยังจุดรับข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบ วิเคราะห์ หรือควบคุม 1 ความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลากหลายสาขา เนื่องจากความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลแบบอัตโนมัติและต่อเนื่องจากระยะไกล ทำให้การตัดสินใจและการจัดการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในบริบทของภาษาไทย คำว่า “เครื่องโทรมาตร” สื่อถึงอุปกรณ์และระบบที่ใช้ในการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการติดตามและควบคุมระบบต่างๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม

การเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ได้ส่งผลให้ความสำคัญของเครื่องโทรมาตรขยายตัวอย่างมาก 2 อุปกรณ์ IoT เหล่านี้สร้างข้อมูลจำนวนมหาศาลจากสถานที่ต่างๆ และเครื่องโทรมาตรเป็นเทคโนโลยีหลักที่ช่วยให้สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวโน้มนี้บ่งชี้ว่าความเข้าใจในหลักการและการประยุกต์ใช้เครื่องโทรมาตรจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคตสำหรับหลากหลายภาคส่วน รายงานฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอความเข้าใจในระดับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องโทรมาตร โดยจะครอบคลุมถึงนิยาม หลักการทำงาน ส่วนประกอบ ประเภท การประยุกต์ใช้ ข้อดี ข้อจำกัด โปรโตคอลการสื่อสาร เซ็นเซอร์ที่ใช้ และการใช้งานเฉพาะในประเทศไทย

2. นิยามของเครื่องโทรมาตร

ในทางวิชาการ เครื่องโทรมาตรถูกนิยามว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจวัดค่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะที่อยู่ห่างไกลได้ โดยสามารถทำผ่านทางคลื่นวิทยุ หรือเครือข่ายไอพี โดยการรับส่งข้อมูล 3 คำว่า “โทรมาตร” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก โดยคำว่า “tele” หมายถึง “ไกล” และ “metron” หมายถึง “การวัด” 1 นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องคือ “telecommand” ซึ่งเป็นกระบวนการส่งคำสั่งและข้อมูลจากระยะไกลเพื่อควบคุมการทำงานของระบบโทรมาตรหรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ 1 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ได้ให้นิยามของโทรมาตรว่าเป็น “บทสรุปของแนวคิดและเหตุผล” ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ 3

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้ให้นิยามของระบบโทรมาตรว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถตรวจวัดค่าทางฟิสิกส์ เคมี หรือชีวภาพ แล้วส่งค่าที่วัดได้ไปยังที่ที่กำหนดไว้ได้เอง ในเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดไว้ 4 ลักษณะสำคัญของเครื่องโทรมาตรคือความสามารถในการเก็บรวบรวมและส่งข้อมูลโดยอัตโนมัติ 5 ความสอดคล้องของนิยามเหล่านี้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ยืนยันถึงความเข้าใจหลักของเครื่องโทรมาตรในฐานะที่เป็นเทคโนโลยีสำหรับการวัดจากระยะไกลและการส่งข้อมูลแบบอัตโนมัติ การกล่าวถึง telecommand ควบคู่ไปกับโทรมาตรยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการสื่อสารสองทางที่มีอยู่ในระบบโทรมาตรขั้นสูงบางระบบ

3. หลักการทำงานของระบบโทรมาตร

การทำงานของระบบโทรมาตรประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ในการไหลของข้อมูล เริ่มต้นจากการตรวจจับและวัดค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ณ จุดที่อยู่ห่างไกลโดยใช้เซ็นเซอร์ 1 สัญญาณดิบที่ได้จากเซ็นเซอร์อาจจำเป็นต้องผ่านกระบวนการปรับสภาพสัญญาณ เช่น การขยาย การกรอง หรือการแปลงเป็นรูปแบบดิจิทัล 10 จากนั้น ข้อมูลที่ถูกปรับสภาพแล้วจะถูกส่งไปยังตำแหน่งศูนย์กลางผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ซึ่งอาจเป็นแบบไร้สาย (คลื่นวิทยุ ดาวเทียม โทรศัพท์เคลื่อนที่ อินฟราเรด) หรือแบบมีสาย (อีเทอร์เน็ต ไฟเบอร์ออปติก สายโทรศัพท์) 1

เมื่อข้อมูลถูกส่งมาถึงตำแหน่งศูนย์กลาง อุปกรณ์รับสัญญาณจะทำการรับข้อมูล 1 ข้อมูลที่ได้รับจะถูกนำไปประมวลผล วิเคราะห์ และแสดงผลในรูปแบบที่ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น กราฟ ตาราง หรือแดชบอร์ด หรืออาจถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุม 2 ตัวอย่างเช่น บอลลูนตรวจอากาศตามที่ระบุใน Wikipedia จะใช้เซ็นเซอร์เพื่อวัดความดัน อุณหภูมิ และความชื้น และใช้เครื่องส่งสัญญาณไร้สายเพื่อส่งข้อมูลไปยังเครื่องบิน 1 กระบวนการนี้แสดงให้เห็นถึงลำดับการทำงานที่ชัดเจน เริ่มจากการวัดและสิ้นสุดที่ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือสัญญาณควบคุมได้ วิธีการส่งข้อมูลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะทาง สภาพแวดล้อม และแบนด์วิดท์ที่ต้องการ

4. ส่วนประกอบหลักของระบบโทรมาตร

ระบบโทรมาตรประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญหลายประการที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่

  • เซ็นเซอร์ (Sensors): ทำหน้าที่ตรวจจับและวัดปริมาณทางกายภาพ 1 สามารถแบ่งออกเป็นเซ็นเซอร์แบบอนาล็อก (Analog) ซึ่งวัดและส่งค่าต่อเนื่อง และเซ็นเซอร์แบบดิจิทัล (Discrete) ซึ่งให้ข้อมูลสถานะเปิด/ปิด 16 ตัวอย่างเซ็นเซอร์ที่ใช้ทั่วไป ได้แก่ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ความดัน ความชื้น ระดับการไหล การเคลื่อนที่ แรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ GPS 1
  • ทรานสดิวเซอร์ (Transducers): ทำหน้าที่แปลงค่าที่วัดได้จากเซ็นเซอร์ให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าที่สามารถนำไปประมวลผลและส่งต่อได้ 12
  • หน่วยปลายทางระยะไกล (Remote Terminal Unit: RTU): เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผล และส่งข้อมูลจากจุดที่อยู่ห่างไกล 16 RTU จะทำการประมวลผลสัญญาณ แปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิทัล ส่งข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุม และอาจรับคำสั่งควบคุมจากศูนย์ควบคุมได้ 16
  • ช่องทางการสื่อสาร (Communication Channels): เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่าง RTU และศูนย์ควบคุม 1 สามารถแบ่งออกเป็นแบบมีสาย เช่น อีเทอร์เน็ต ไฟเบอร์ออปติก สายโทรศัพท์ และแบบไร้สาย เช่น คลื่นวิทยุ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (GPRS, SMS) ดาวเทียม Wi-Fi บลูทูธ อินฟราเรด 1
  • เครื่องรับสัญญาณ (Receivers): เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลที่ถูกส่งมาจาก RTU ณ ตำแหน่งศูนย์กลาง 10
  • สถานีหลัก/ศูนย์ควบคุม (Master Station/Control Center): เป็นศูนย์กลางในการรับ ประมวลผล แสดงผล และจัดเก็บข้อมูลที่ส่งมาจาก RTU ทั่วทั้งระบบ 16 นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมยังอาจมีฟังก์ชันในการส่งคำสั่งควบคุมไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ในพื้นที่ระยะไกลได้ 16

ระบบโทรมาตรจึงเป็นเครือข่ายบูรณาการของส่วนประกอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกัน โดย RTU ทำหน้าที่เป็นส่วนต่อประสานอัจฉริยะ ณ ปลายทางระยะไกล ในขณะที่ศูนย์ควบคุมเป็นศูนย์กลางสำหรับการตรวจสอบและการจัดการ

5. การประยุกต์ใช้เครื่องโทรมาตรในหลากหลายด้าน

เครื่องโทรมาตรมีการประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรมและสาขาต่างๆ ได้แก่

  • อุตุนิยมวิทยา (Meteorology): ใช้ในบอลลูนตรวจอากาศเพื่อส่งข้อมูลบรรยากาศ 1
  • อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil and Gas Industry): ใช้ในการส่งข้อมูลการขุดเจาะแบบเรียลไทม์ 1
  • การแข่งรถ (Motor Racing): ใช้ในการตรวจสอบสมรรถนะของรถแข่งและข้อมูลจากนักขับ 1
  • การขนส่ง (Transportation): ใช้ในการติดตามสมรรถนะของยานพาหนะ การตรวจสอบการจราจร และการวัดสุขภาพของรางรถไฟ 1
  • การเกษตร (Agriculture): ใช้ในสถานีตรวจอากาศไร้สายเพื่อส่งข้อมูลดินและสภาพอากาศ 1
  • การจัดการน้ำ (Water Management): ใช้ในการตรวจสอบระดับน้ำ ปริมาณน้ำฝน อัตราการไหล คุณภาพน้ำ และอื่นๆ 1
  • การแพทย์ (Healthcare): ใช้ในการตรวจสอบสัญญาณชีพของผู้ป่วยจากระยะไกล เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และระดับออกซิเจน 1
  • การบินและอวกาศ (Aerospace): ใช้ในการตรวจสอบสถานะ สมรรถนะ และสภาพแวดล้อมของอากาศยาน ยานอวกาศ และดาวเทียม 1
  • ความปลอดภัย (Security): ใช้ในการตรวจสอบเหตุการณ์ทางไซเบอร์และการเฝ้าระวังความปลอดภัยทางกายภาพ 2
  • ระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม (Industrial Automation): ใช้ในการตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิต สมรรถนะของอุปกรณ์ และการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ 2
  • การตรวจสอบพลังงาน (Energy Monitoring): ใช้ในการติดตามการใช้และการกระจายพลังงาน 1
  • การวิจัยสัตว์ป่า (Wildlife Research): ใช้ในการติดตามการเคลื่อนไหวและพารามิเตอร์ทางสรีรวิทยาของสัตว์ 1
  • การค้าปลีก (Retail): ใช้ในการจัดการสินค้าคงคลังและข้อมูลจากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 1
  • การบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement): ใช้ในการติดตามบุคคลและทรัพย์สิน 1
  • การทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย (Testing in Hostile Environments): ใช้ในการเก็บข้อมูลจากระยะไกลในสถานที่อันตราย 1
  • ซอฟต์แวร์ (Software): ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานและประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน 1

ความหลากหลายของการประยุกต์ใช้เครื่องโทรมาตรแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและคุณค่าของเทคโนโลยีนี้ในการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลจากระยะไกลในหลากหลายอุตสาหกรรมและสภาพแวดล้อม

6. ข้อดีของการนำเครื่องโทรมาตรมาใช้งาน

การนำเครื่องโทรมาตรมาใช้งานมีข้อดีมากมายที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบต่างๆ ได้แก่

  • การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ (Real-time Monitoring): สามารถรับข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน ทำให้สามารถติดตามสถานการณ์และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้ทันที 2
  • การเข้าถึงจากระยะไกล (Remote Access): สามารถตรวจสอบและควบคุมระบบจากระยะไกลได้ ลดความจำเป็นในการเดินทางไปยังสถานที่ติดตั้ง 2
  • การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance): สามารถตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์เพื่อคาดการณ์ความเสียหายและวางแผนการบำรุงรักษาล่วงหน้า ลดเวลาหยุดทำงานและค่าใช้จ่าย 2
  • ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น (Improved Efficiency): สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานและการใช้ทรัพยากรให้เหมาะสมตามข้อมูลที่ได้รับแบบเรียลไทม์และแนวโน้มในอดีต 2
  • ความปลอดภัยที่สูงขึ้น (Enhanced Safety): ในสภาพแวดล้อมที่สำคัญ เช่น การแพทย์และการบินและอวกาศ การตรวจสอบอย่างต่อเนื่องช่วยให้สามารถเข้าแทรกแซงได้ทันเวลาและป้องกันอุบัติเหตุ 2
  • การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision-Making): ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลาสำหรับการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการและเชิงกลยุทธ์ 2
  • ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness): ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานผ่านระบบอัตโนมัติ การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ และการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ 2
  • การตรวจจับภัยคุกคามตั้งแต่เนิ่นๆ (Early Threat Detection): สามารถระบุความผิดปกติและภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์ 2
  • ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น (Improved Customer Experience): ทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้และประสิทธิภาพของระบบเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ 20
  • การเคลื่อนไหวที่ไม่จำกัด (Unrestricted Movement) (ในบางแอปพลิเคชัน เช่น การแพทย์): อนุญาตให้ผู้ที่ถูกตรวจสอบสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ 21

ข้อดีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเครื่องโทรมาตรเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการจัดการและปรับปรุงระบบต่างๆ ในหลากหลายภาคส่วน ความสามารถในการตรวจสอบจากระยะไกลและแบบเรียลไทม์เป็นข้อได้เปรียบหลักที่ขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งาน

7. ข้อจำกัดและความท้าทายของเครื่องโทรมาตร

แม้ว่าเครื่องโทรมาตรจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดและความท้าทายบางประการที่ต้องพิจารณา ได้แก่

  • ความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว (Data Security and Privacy Concerns): ข้อมูลที่รวบรวมและส่งโดยระบบโทรมาตรอาจมีความละเอียดอ่อน และมีความเสี่ยงต่อการเข้าถึงและการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต 2
  • ข้อมูลล้นเกิน (Data Overload): ปริมาณข้อมูลจำนวนมากที่สร้างโดยระบบโทรมาตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้งานอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก อาจเป็นเรื่องยากในการจัดการ จัดเก็บ และวิเคราะห์ 2
  • ปัญหาความเข้ากันได้กับระบบเดิม (Compatibility Issues with Legacy Systems): การบูรณาการระบบโทรมาตรสมัยใหม่เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่เก่ากว่าอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนทางเทคนิค 2
  • สัญญาณรบกวนและความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ (Signal Interference and Hardware Failure): ระบบโทรมาตรไร้สายอาจได้รับผลกระทบจากสัญญาณรบกวน และส่วนประกอบฮาร์ดแวร์อาจล้มเหลว ซึ่งนำไปสู่การสูญหายของข้อมูลหรือการอ่านค่าที่ไม่ถูกต้อง 29
  • ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา (Cost of Implementation and Maintenance): การติดตั้งและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานของระบบโทรมาตร รวมถึงเซ็นเซอร์ เครือข่ายการสื่อสาร และระบบประมวลผลข้อมูล อาจมีค่าใช้จ่ายสูง 32
  • ปัญหาความสมบูรณ์ของข้อมูล (Data Integrity Problems): การรับประกันความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่รวบรวมและส่งมาเป็นสิ่งสำคัญ และปัจจัยต่างๆ เช่น การสอบเทียบเซ็นเซอร์และการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลมีบทบาทสำคัญ 6
  • ความหน่วงของเครือข่าย (Network Latency): ความล่าช้าในการส่งข้อมูลอาจเป็นปัญหาสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการการตอบสนองแบบเรียลไทม์ 20
  • การสนับสนุนข้อมูลที่จำกัด (Limited Data Support) (ในเฟรมเวิร์กโทรมาตรบางอย่าง เช่น OpenTelemetry): เฟรมเวิร์กบางอย่างอาจไม่รองรับข้อมูลหรือภาษาโปรแกรมทั้งหมดอย่างเต็มที่ 34
  • ค่าใช้จ่ายด้านประสิทธิภาพ (Performance Overhead) (ของตัวรวบรวมข้อมูล): กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมและส่งข้อมูลโทรมาตรอาจใช้ทรัพยากรของระบบ (CPU, หน่วยความจำ) 34
  • ศักยภาพในการตีความผลลัพธ์ที่ผิดพลาด (Potential for Misinterpretation of Results): การติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ไม่ถูกต้องหรือการตีความข้อมูลผิดพลาดอาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้อง 30

ความท้าทายเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการนำเครื่องโทรมาตรมาใช้อย่างประสบความสำเร็จต้องมีการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของระบบ

8. โปรโตคอลการสื่อสารที่ใช้ในเครื่องโทรมาตร

ระบบโทรมาตรใช้โปรโตคอลการสื่อสารหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและข้อกำหนดของระบบ ได้แก่

  • โปรโตคอล IoT (IoT Protocols):
    • MQTT (Message Queuing Telemetry Transport): เป็นโปรโตคอลที่มีน้ำหนักเบา ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่มีแบนด์วิดท์ต่ำและทรัพยากรจำกัด ใช้รูปแบบการสื่อสารแบบ Publish-Subscribe 2
    • CoAP (Constrained Application Protocol): ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและเครือข่ายที่ไม่เสถียร ทำงานบน UDP และสามารถแปลงเป็น HTTP ได้ 22
    • HTTP/HTTPS: โปรโตคอลเว็บทั่วไป HTTPS ให้การสื่อสารที่ปลอดภัยแต่ต้องการพลังงานสูงกว่า 22
  • โปรโตคอลการจัดการเครือข่าย (Network Management Protocols):
    • SNMP (Simple Network Management Protocol): ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรวบรวมและจัดการข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์เครือข่าย 41
    • NetFlow, sFlow, IPFIX: โปรโตคอลที่ใช้ในการตรวจสอบปริมาณการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย 41
  • โปรโตคอลการสื่อสารแบบอนุกรม (Serial Communication Protocols):
    • RS232, RS485, RS422: มาตรฐานการสื่อสารแบบอนุกรมที่ใช้ทั่วไปในการแลกเปลี่ยนข้อมูล มักใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ SCADA 44
  • โปรโตคอลอื่นๆ (Other Protocols):
    • gRPC (Google Remote Procedure Call) และ NETCONF with YANG: โปรโตคอลสำหรับการสตรีมข้อมูลโทรมาตรแบบเรียลไทม์ 42
    • AMQP (Advanced Message Queuing Protocol), STOMP (Streaming Text-Oriented Messaging Protocol), DDS (Data Distribution Service), OPC UA, WAMP (Web Application Messaging Protocol): โปรโตคอลทางเลือกสำหรับการใช้งานเฉพาะ 22
  • รูปแบบการจัดลำดับข้อมูล (Data Serialization Formats): TLV, JSON, SenML, CBOR ใช้สำหรับการเข้ารหัสข้อมูล 40

ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบโปรโตคอลการสื่อสารที่ใช้ทั่วไปในเครื่องโทรมาตร

ชื่อโปรโตคอลโปรโตคอลการขนส่งพื้นฐานการใช้งานทั่วไปคุณสมบัติหลัก
MQTTTCPIoT, การตรวจสอบระยะไกลน้ำหนักเบา, ประหยัดพลังงาน, Publish-Subscribe
CoAPUDPIoT, อุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดออกแบบสำหรับเครือข่ายที่ไม่เสถียร, แปลงเป็น HTTP ได้
HTTP/HTTPSTCPเว็บ, การถ่ายโอนข้อมูลใช้กันอย่างแพร่หลาย, HTTPS มีความปลอดภัย
SNMPUDPการจัดการเครือข่ายรวบรวมข้อมูลอุปกรณ์เครือข่าย
NetFlow/sFlow/IPFIXUDPการตรวจสอบเครือข่ายตรวจสอบปริมาณการรับส่งข้อมูล
RS232/RS485/RS422อุตสาหกรรม, SCADAการสื่อสารแบบอนุกรม

การเลือกโปรโตคอลการสื่อสารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบระบบโทรมาตรที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้

9. เซ็นเซอร์ที่ใช้ทั่วไปในแอปพลิเคชันโทรมาตร

เซ็นเซอร์เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบโทรมาตร ทำหน้าที่ตรวจวัดพารามิเตอร์ต่างๆ ที่ต้องการตรวจสอบจากระยะไกล มีเซ็นเซอร์หลากหลายประเภทที่ใช้ในแอปพลิเคชันโทรมาตร ได้แก่

  • เซ็นเซอร์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sensors): วัดอุณหภูมิ ความชื้น ความดัน (บรรยากาศ ความแตกต่าง แรงดันในห้องโดยสาร) ปริมาณน้ำฝน การระเหย ความเร็วและทิศทางลม ความเข้มแสง คุณภาพอากาศและน้ำ (เช่น ออกซิเจนละลายในน้ำ ค่า pH ความเค็ม) 4
  • เซ็นเซอร์ด้านอุทกวิทยา (Hydrological Sensors): วัดระดับน้ำ (หลากหลายประเภท รวมถึงเรดาร์) อัตราการไหล เครื่องวัดกระแสน้ำด้วยคลื่นเสียง (ADCP) 7
  • เซ็นเซอร์เชิงกล/กายภาพ (Mechanical/Physical Sensors): วัดความเร่ง (สำหรับการวัดแรงสั่นสะเทือนและแรง G) ไจโรสโคป เกจวัดความเครียด โหลดเซลล์ เซ็นเซอร์วัดระยะทาง เซ็นเซอร์วัดความเร็ว เอ็นโค้ดเดอร์แบบหมุนและแบบเชิงมุม 1
  • เซ็นเซอร์ระบุตำแหน่งและนำทาง (Position and Navigation Sensors): เครื่องรับ GPS/GNSS แมกนีโตมิเตอร์ ตัวติดตามดาว เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ เซ็นเซอร์โลกและเซ็นเซอร์ดวงอาทิตย์ 1
  • เซ็นเซอร์ไฟฟ้า (Electrical Sensors): วัดแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า เซ็นเซอร์ตรวจจับไฟดับ เซ็นเซอร์วัดแรงดันแบตเตอรี่ 17
  • เซ็นเซอร์แสงและภาพ (Optical and Imaging Sensors): กล้อง LIDAR โฟโตดีเทคเตอร์ 7
  • เซ็นเซอร์ก๊าซ (Gas Sensors): ตรวจจับก๊าซอันตรายหรือระดับออกซิเจน 19
  • เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและความปลอดภัย (Motion and Security Sensors): เครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ประตู เซ็นเซอร์ตรวจจับควัน 17
  • เซ็นเซอร์เฉพาะสำหรับโทรมาตร (Telemetry-Specific Sensors): ตัวบ่งชี้ความแรงของสัญญาณที่ได้รับ (RSSI) คุณภาพการเชื่อมต่อ อัตราส่วนสัญญาณต่อสัญญาณรบกวน กำลังส่ง 18

ตารางที่ 2 แสดงตัวอย่างเซ็นเซอร์ที่ใช้ในแอปพลิเคชันโทรมาตรต่างๆ

สาขาการใช้งานประเภทเซ็นเซอร์พารามิเตอร์ที่วัด
อุตุนิยมวิทยาเซ็นเซอร์อุณหภูมิอุณหภูมิ
เซ็นเซอร์ความชื้นความชื้น
เซ็นเซอร์ความดันบรรยากาศความดันบรรยากาศ
การแพทย์อิเล็กโทรด ECGกิจกรรมทางไฟฟ้าของหัวใจ
เครื่องวัดออกซิเจนในเลือดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
อุตสาหกรรมเซ็นเซอร์อุณหภูมิอุณหภูมิอุปกรณ์
เซ็นเซอร์การสั่นสะเทือนการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร
เครื่องวัดการไหลอัตราการไหลของของเหลว

ประเภทของเซ็นเซอร์ที่ใช้ในระบบโทรมาตรจะขึ้นอยู่กับพารามิเตอร์ที่ต้องการวัดและลักษณะเฉพาะของแอปพลิเคชันนั้นๆ

10. ระบบโทรมาตรและการใช้งานในประเทศไทย

ประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยีเครื่องโทรมาตรมาใช้ในหลากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและติดตั้งระบบโทรมาตรอัตโนมัติเพื่อตรวจวัดระดับน้ำและปริมาณน้ำฝนทั่วประเทศ 9 สสน. ได้นำเทคโนโลยี “Field Server” ที่พัฒนาจากประเทศญี่ปุ่นมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย 24 ข้อมูลที่ตรวจวัดได้จะถูกส่งแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และดาวเทียม และสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ThaiWater 9 ระบบโทรมาตรเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการติดตาม เฝ้าระวัง และแจ้งเตือนภัยพิบัติทางน้ำ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง 8

กรมชลประทานก็เป็นอีกหน่วยงานหลักที่ใช้งานสถานีโทรมาตรในลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ 16 นอกจากนี้ ยังมีโครงการความร่วมมือต่างๆ เช่น “โครงการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติระยะที่ 2 ในพื้นที่ลุ่มน้ำ” โดยมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และ สสน45. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีโทรมาตรเพื่อการบริหารจัดการน้ำและป้องกันภัยพิบัติของประเทศ มีการพัฒนาระบบโทรมาตรขนาดเล็ก ราคาถูก และติดตั้งง่ายเพื่อให้การใช้งานแพร่หลายยิ่งขึ้น 9

ในด้านการแพทย์ มีการนำระบบโทรมาตรมาใช้ เช่น ระบบ ApexPro Telemetry System ของ GE HealthCare ที่มีให้บริการในประเทศไทย 31 สำหรับภาคอุตสาหกรรม บริษัทต่างๆ เช่น Schneider Electric ก็มีระบบโทรมาตรและ SCADA สำหรับการตรวจสอบและควบคุมการปฏิบัติงานจากระยะไกลในประเทศไทย 51 นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องโทรมาตรในการตรวจสอบสภาพอากาศและการเติบโตของพืชในภาคการเกษตร 8 และมีการพัฒนาระบบควบคุมคลองอัตโนมัติโดยใช้เทคโนโลยีโทรมาตรและ SCADA ในโครงการต่างๆ เช่น ระบบคลองอัตโนมัติกำแพงแสน 48

การใช้งานเทคโนโลยีโทรมาตรอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความมุ่งมั่นของประเทศในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ

11. บทสรุป

เครื่องโทรมาตรเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจวัดและส่งข้อมูลจากระยะไกล โดยมีหลักการทำงานที่ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจจับข้อมูลด้วยเซ็นเซอร์ การส่งข้อมูลผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ไปจนถึงการประมวลผลและแสดงผลข้อมูล ณ จุดศูนย์กลาง ระบบโทรมาตรประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ เช่น เซ็นเซอร์ หน่วยปลายทางระยะไกล ช่องทางการสื่อสาร และศูนย์ควบคุม ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อรวบรวมและนำเสนอข้อมูลที่มีคุณค่า

การประยุกต์ใช้เครื่องโทรมาตรมีความหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ด้านอุตุนิยมวิทยา การจัดการน้ำ การแพทย์ การบินและอวกาศ ไปจนถึงอุตสาหกรรมและการเกษตร ข้อดีของการนำเครื่องโทรมาตรมาใช้งานนั้นชัดเจน เช่น การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ การเข้าถึงจากระยะไกล การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องพิจารณา เช่น ความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูล ปัญหาข้อมูลล้นเกิน และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา

การสื่อสารในระบบโทรมาตรอาศัยโปรโตคอลที่หลากหลาย เช่น MQTT, CoAP, SNMP และ NetFlow ซึ่งแต่ละโปรโตคอลมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน เซ็นเซอร์ที่ใช้ก็มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับพารามิเตอร์ที่ต้องการวัด ในประเทศไทย มีการนำเทคโนโลยีเครื่องโทรมาตรมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยหน่วยงานต่างๆ เช่น สสน. และกรมชลประทาน เป็นผู้นำในการพัฒนาและใช้งานระบบเหล่านี้

ในอนาคต คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีเครื่องโทรมาตรจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบูรณาการเข้ากับเทคโนโลยี IoT มากยิ่งขึ้น จะมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการสื่อสารให้มีความรวดเร็วและเสถียรมากยิ่งขึ้น และจะมีการให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีเครื่องโทรมาตรจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การจัดการและควบคุมระบบต่างๆ ในหลากหลายสาขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ขอบคุณ

Nontawatt Saraman

Cybersecurity กับธุรกิจประกันภัย

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ได้รับเกียรติเชิญ คุณนนทวัตต์ สาระมาน ให้มาบรรยายและให้ความรู้ด้าน Cybersecurity ในหลักสูตร ของ สมาคมประกันวินาศภัยไทย “โครงการพัฒนาผู้บริหารธุรกิจประกันวินาศภัย” หรือ “Insurance Management Development Program (IMDP)” รุ่นที่ 28

หลักสูตรพัฒนาผู้บริหารธุรกิจประกันวินาศภัย เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และขีดความสามารถของผู้บริหารในธุรกิจประกันวินาศภัยให้ก้าวสู่การเป็นผู้บริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพกับเนื้อหาหลักสูตรเข้มข้น 9 Modules ที่ครอบคลุมหัวใจสำคัญในการประกอบธุรกิจประกันภัยในยุคดิจิทัล

บรรยายให้ Digital Jump Start รุ่น 2

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ได้รับเกียรติ คุณนนทวัตต์ สาระมาน มาบรรยายให้กลับหลักสูตร Digital Jump Start รุ่นที่ 2 ในหัวข้อ “Key Data Privacy and Security Laws” จัดโดย DEPA

หลักสูตรดิจิทัลจั๊มสตาร์ท (Digital Jumpstart: DJS) คือหลักสูตรเตรียมความพร้อมสำหรับผู้บริหาร รุ่นใหม่ (Young Digital CEO) จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภูมิภาค เตรียมพร้อมกำลังคนดิจิทัลที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีระดับโลก

นักบุญไซเบอร์ ตอนกับดักมหาภัย


กับดัก

“ในห้องมืดเย็นเฉียบ มีเพียงไฟจอคอมพิวเตอร์ริบหรี่
เสียงพัดลมระบายความร้อน ดั่งลมหายใจอ่อนแรง
นักบุญไซเบอร์หยุดมือที่จับเมาส์ ไม่สนโค้ด ไม่สนคีย์บอร์ด
ปล่อยจิตสำนึกให้ล่องลอยไปกับความเงียบ
—ความเงียบ ที่เตือนว่าโลกดิจิทัลนั้น “ไม่เที่ยง” —

ทันใดนั้นเอง เสียง Ring Buffer ในระบบเฝ้าระวังเครือข่าย (Network Monitoring) ส่งสัญญาณแจ้งเตือนบนหน้าจอคอนโซลที่เต็มไปด้วยหน้าต่าง CLI และโลโก้ของ Kali Linux นักบุญไซเบอร์—แฮกเกอร์นิรนามผู้ขลุกอยู่กับโค้ดและ Exploit Kit ทั้งหลายในโลกใต้ดิน—จับจ้องตัวเลข TCP/UDP Port ที่เลื่อนไหลไม่หยุด

แก๊ง Call Center นี่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูล SIP Packet จาก IP ปลายทางซ้ำๆ กัน… น่าสงสัย”
นักบุญไซเบอร์พูดพลางวิเคราะห์ข้อมูล Deep Packet Inspection (DPI) บนหน้าจอ

ก่อนหน้านี้ เขาได้วาง Honeypot ไว้ในโครงข่ายเสมือน (Virtual Private Cloud) เพื่อหลอกให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามาตีสนิทเหยื่อปลอมผ่าน Social Engineering โดยจำลองข้อมูลประวัติบุคคลปลอม ตั้งแต่ชื่อ-นามสกุลไปจนถึงบัญชีธนาคารเสมือน

เป้าหมายคือ “ให้มันตายใจ” แล้วรอจังหวะเจาะระบบกลับ ด้วยการใช้ Pivoting จาก Proxy ตัวกลางหรือ Reverse Shell ที่จะได้มาหลังจากแก๊งหลงเชื่อ


เจาะลึกการโทร VoIP และวางกับดักผ่าน SIP/RTSP

นักบุญไซเบอร์ทำการ Port Scanning ด้วย nmap เพื่อสำรวจ Open Ports ในระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พบว่ารองรับ SIP (Session Initiation Protocol) และ RTP (Real-time Transport Protocol) สำหรับบริการโทรศัพท์ข้ามชาติผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP)

“เบอร์นี้ใช้ Proxy สองชั้น… คงมีการ DNS Spoofing หรือ Split Tunneling VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตาม”


เขาจดบันทึกใน SRAN Netapprove NG100 ซึ่งเป็นระบบ Log Aggregation และ Network Forensic ของเขา

เพื่อให้แผนสำเร็จ เขาอัปโหลดสคริปต์ตั้งชื่อว่า “HoneypotLure.py” ลงใน VM ที่ทำหน้าที่เป็นเหยื่อ สคริปต์นี้จะตอบโต้บทสนทนาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบกึ่งอัตโนมัติ สามารถส่งเสียงและข้อความพร้อม Obfuscation บางส่วน เพื่อให้ปลายทางเชื่อว่ากำลังสนทนากับเหยื่อจริง


เมื่อเหยื่อติดเบ็ด
การ Reverse Engineering ข้อมูลการโทร

ภายในแล็บลับของเขา หน้าจอหลายเครื่องรัน Wireshark ทำงานร่วมกับ Suricata เพื่อเก็บ Traffic ทุกแพ็กเก็ตที่ไหลเข้ามา แก๊งคอลเซ็นเตอร์บางครั้งพยายามส่ง Phishing Link อ้างเป็นแอปธนาคารให้ “เหยื่อ” ดาวน์โหลด นักบุญไซเบอร์จึงได้ไฟล์ .apk น่าสงสัยมาด้วย

“น่าสนใจ… ดูเหมือนเป็น Trojan Dropper ติดมากับแพ็กเกจปลอม ใส่ RAT (Remote Access Trojan) ไว้ภายใน”
เขาเปิด Sandbox environment แยกต่างหากเพื่อ Reverse Engineering .apk ดังกล่าว ป้องกันระบบหลักเสียหาย

ขณะที่เขาวิเคราะห์ อัลกอริทึมการเข้ารหัสของมัลแวร์เผยให้เห็น AES-256 และ RSA ร่วมกัน ยิ่งตอกย้ำว่ามีผู้เชี่ยวชาญเบื้องหลังแก๊งนี้ แต่ไม่ว่าพวกนั้นจะแกร่งแค่ไหนก็ยังไม่เทียบเท่า “Zero-Day” ที่นักบุญไซเบอร์กำลังเตรียมใช้


Zero-Day เผยโฉมอาวุธลับในมือ

นักบุญไซเบอร์เก็บรักษาช่องโหว่ Zero-Day ไว้ในเซิร์ฟเวอร์ที่เข้ารหัสอย่างแน่นหนา เขาใช้ PGP และ SHA-256 Checksum เพื่อยืนยันความถูกต้องทุกครั้งก่อนรันมัน ช่องโหว่นี้เป็น Privilege Escalation บนระบบ Call Center Management ที่เจาะได้จากเวอร์ชันเก่าของ Asterisk หรือระบบ SIP PBX ยอดนิยมที่แก๊งนี้ใช้อยู่

ถ้าพวกเขาไม่อัปเดตแพตช์ล่าสุด… ฉันก็จะ Exploit และควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที”
เขาพึมพำขณะตรวจสอบไฟล์ “ZeroDay_Asterisk_Exploit.py

เป้าหมายหลักคือการขอ Reverse Shell หรือ Bind Shell บนเซิร์ฟเวอร์คอลเซ็นเตอร์ เพื่อเข้าถึง Log และฐานข้อมูลรายละเอียดเหยื่อจำนวนมาก จากนั้นจะสามารถ Pivot ไปยังส่วนอื่นๆ ของเครือข่าย เช่น Payment Gateway หรือ Command and Control (C2) Server ที่แก๊งใช้ควบคุมสายโทร


การยิง Exploit และบุกทะลวง Call Center

เมื่อพร้อม นักบุญไซเบอร์วางแผน “ยิง” Exploit ผ่าน SSH Tunneling ใช้ Tor Relay ซ้อนกันหลายชั้น เพื่อปกปิดเส้นทางกลับมายังเครื่องหลัก

  1. สแกนช่องโหว่ ด้วย nmap เสริมด้วยสคริปต์ vulnscan.nse ที่เขียนปรับปรุงเอง
  2. ตรวจพบ Asterisk PBX รุ่นเก่าพร้อมพอร์ตเปิด SIP 5060, 5061
  3. รันสคริปต์ ZeroDay_Asterisk_Exploit.py โดยกำหนด Payload เป็นการฝัง Malicious Shell แบบ Meterpreter (โมดูลเสริมจาก Metasploit Framework)
  4. ระบบปลายทาง “สั่นคลอน” ก่อนแตกเป็นสองส่วน—หนึ่งคือ Logs ที่นักบุญไซเบอร์แอบดึงข้อมูลกลับ อีกหนึ่งคือ “หน้าบ้าน” ที่แก๊งยังไม่รู้ว่ามีแฮกเกอร์บุกเข้าระบบ

ผลลัพธ์คือเขาสามารถ Pivot เข้าไปยังฐานข้อมูลภายในของแก๊ง สัมผัสโครงสร้าง MariaDB ที่เก็บข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์และบัญชีเหยื่อจำนวนมหาศาล


แกะรอย หัวหน้าขบวนการ

นักบุญไซเบอร์เริ่มดูดข้อมูล Raw Log ทั้งหมดเพื่อนำมา Network Forensic และวิเคราะห์ Threat Intelligence พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีผู้ควบคุมหลักอยู่ในต่างประเทศ เชื่อมโยงผ่าน VPN และ Proxy Chaining หลายชั้น

ต้องทำ Correlation ระหว่าง IP ปลายทางกับ GeoIP และ Dark Web Marketplace ที่พวกมันอาจประกาศขายข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคารเถื่อน”
เขาเปิดเครื่องมือ Maltego เพื่อโยงความสัมพันธ์ว่ามีกี่โดเมนที่เชื่อมโยงกัน


ปิดฉากศาลเตี้ยไซเบอร์

เมื่อได้หลักฐานมากพอรวมทั้ง Log การโทร ภาพถ่ายบัตรประชาชนของเหยื่อที่แก๊งรวบรวมไว้ และเส้นทางการโอนเงินผ่าน Blockchain บางส่วน—นักบุญไซเบอร์จึงส่ง Encrypted Archive พร้อมไฟล์หลักฐานทั้งหมดให้หน่วยงานสากล โดยใช้ PGP Key ที่แลกเปลี่ยนไว้ก่อนหน้า

“ฉันไม่ใช่ฮีโร่ แต่ถ้ากฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย… ก็ปล่อยมันไม่ได้”
เขากดส่งไฟล์ไปยัง Interpol Cybercrime Division”

ขณะเดียวกัน เขายังกดคำสั่ง “Remote Wipe” บนเครื่องของแก๊ง ผ่าน “Backdoor” ที่ทิ้งไว้ใน Asterisk PBX ทำให้ระบบคอลเซ็นเตอร์ของแก๊งล่มกลางอากาศ VoIP Gateway ก็หยุดทำงานทันที สายที่กำลังจะโทรหลอกเหยื่อก็ตัดขาด ทำให้แก๊งเกิดความโกลาหลและไม่ทันย้ายเซิร์ฟเวอร์หนี


รุ่งเช้าแห่งการไล่ล่า

ในเช้าวันถัดมา ข่าวการทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงผู้คนนับพันแพร่สะพัด จับกุมผู้กระทำความผิดหลายสิบรายในหลายประเทศ คอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ที่ยึดได้มีหลักฐานแน่นหนา มัดตัวชนิดปฏิเสธไม่ได้

สื่อมวลชนและผู้คนต่างสงสัยว่าใครเป็นผู้มอบหลักฐานลับให้หน่วยงานสากล บ้างเล่าว่ามี “แฮกเกอร์นิรนาม” ส่งไฟล์เข้ารหัสพร้อมแผนที่เครือข่ายทั้งหมด

นักบุญไซเบอร์นั่งอยู่ที่คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ไฟหน้าจอ LED สีเขียวกระพริบสว่างไสว มองเห็นรายงาน Syslog ของตนเองที่ยังคงออนไลน์

“จบไปหนึ่งแก๊ง… แต่ในเงามืดของโลกไซเบอร์ยังมีอีกมาก”

เขาปิดไฟในห้อง ทิ้งเพียงเงาของเขาไว้บนกำแพง พร้อมกับภารกิจใหม่ที่จะเข้ามาในไม่ช้า—ผู้คนอาจไม่รู้จักชื่อหรือโฉมหน้า แต่เขาจะยังคงเป็น “นักบุญไซเบอร์” ผู้คอยทำหน้าที่ศาลเตี้ยบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เต็มไปด้วยมิจฉาชีพ… และศัตรูรายต่อไปคงต้องหวั่นเกรงยิ่งกว่านี้

— จบตอน —

ขอบคุณ

Nontawatt