การตรวจสอบข้อมูลตามกฎหมาย หรือ Lawful interception (LI) คือการได้มาซึ่งข้อมูลการสื่อสารผ่านเครือข่าย ดำเนินการโดยเจ้าพนักงานตามกฎหมายเพื่อวิเคราะห์หรือพิสูจน์หลักฐาน โดยทั่วไปข้อมูลนี้ประกอบด้วยสัญญาณหรือข้อมูลการจัดการด้านเครือข่าย หรือ เนื้อหาของการสื่อสารนั้น ถ้าไม่ได้รับข้อมูลนั้นในแบบเรียลไทม์ เราเรียกกิจกรรมดังกล่าวว่า การเข้าถึงข้อมูลที่เก็บรักษาไว้ (access to retained data)
มีหลักการมากมายในกิจกรรมนี้ รวมถึงการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทางเครือข่ายสาธารณะสามารถรับภาระในกิจกรรม LI เพื่อเป้าหมายเหล่านี้ได้ ส่วนผู้ประกอบธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทางเครือข่ายส่วนตัวมีสิทธิโดยปกติวิสัยที่จะคงไว้ซึ่งความสามารถด้าน LI ภายในเครือข่ายของตนถ้าไม่ได้ถูกสั่งห้าม
หลักการพื้นฐานอย่างหนึ่งของ LI คือการลักลอบดักข้อมูลการสื่อสารโทรคมนาคมโดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานที่มีอำนาจควบคุมหรือบริหาร และหน่วยสืบข่าวกรองที่สอดคล้องกฎหมายท้องถิ่น ภายใต้กฎหมายบางระบบ การใช้งานโดยเฉพาะการเข้าถึงเนื้อหาการสื่อสารแบบเรียลไทม์ อาจมีการบังคับใช้ขั้นตอนและการรับมอบการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อย่างถูกต้อง เป็นกิจกรรมที่ก่อนหน้านี้เรียกว่า ไวร์แทพพิง (wiretapping) และมีมาตั้งแต่มีการลักลอบดักข้อมูลการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
ด้วยมรดกตกทอดของโครงข่ายโทรศัพท์สวิตช์สาธารณะ (Public Switched Telephone Network : PSTN) เครือข่ายไร้สายและสายเคเบิล การลักลอบดักข้อมูลตามกฎหมายมักจะกระทำโดยการเข้าถึงสวิตช์ (switches) ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรกลหรือดิจิทัลที่สนับสนุนการดักข้อมูลเป้าหมาย การเข้ามาของเครือข่ายแบบแพกเกตสวิตชิง (packet switched networks) เทคโนโลยีซอฟท์สวิตช์ (soft switch) และแอพพลิเคชั่นแบบ server-based ในสองทศวรรษที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐานของการดำเนินการเกี่ยวกับ LI ไป
การอธิบายทางเทคนิค
เกือบทุกประเทศมีข้อบังคับเกี่ยวกับความสามารถทาง LI และใช้ข้อบังคับและมาตรฐานที่พัฒนาโดยสถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมแห่งยุโรป (European Telecommunications Standards Institute : ETSI) โครงการ 3rd Generation Partnership Project (3GPP) หรือองค์กรต่าง ๆ ของเคเบิลแล็บส์ (CableLabs) ที่รับผิดชอบด้านเครือข่ายไร้สาย/อินเทอร์เน็ต เครือข่ายไร้สาย และระบบเคเบิล ตามลำดับ ในสหรัฐฯ ข้อบังคับที่เทียบเคียงได้ให้อำนาจตามกฎหมาย Communications Assistance for Law Enforcement Act (CALEA) ซึ่งได้ระบุความสามารถเจาะจงโดยการประกาศใช้ ด้วยความร่วมมือของคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (Federal Communications Commission) และกระทรวงยุติธรรม
เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลการสืบสวนถูกบุกรุก อาจมีการออกแบบระบบ LI ในรูปแบบที่ปกปิดการลักลอบดักข้อมูลจากความเกี่ยวข้องของผู้ประกอบธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นข้อบังคับหนึ่งของอำนาจศาลในบางแห่ง
เพื่อให้มั่นใจได้ถึงขั้นตอนที่เป็นระบบ แต่ลดค่าใช้จ่ายของโซลูชั่นต่าง ๆ ในการลักลอบดักข้อมูล กลุ่มธุรกิจและหน่วยงานของรัฐบาลทั่วโลกได้พยายามจัดมาตรฐานขั้นตอนทางเทคนิคที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบดักข้อมูล องค์การ ETSI เป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันมาตรฐานต่าง ๆ ในการลักลอบดักข้อมูล ไม่เพียงเพื่อยุโรปเท่านั้น แต่สำหรับใช้ทั่วโลกด้วย คำอธิบายต่อไปนี้จะกล่าวถึงความคิดเห็นโดยสรุปเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของการลักลอบดักข้อมูลที่เสนอโดย ETSI
สถาปัตยกรรมนี้พยายามกำหนดวิธีการที่เป็นระบบที่สามารถขยายออกได้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจเครือข่ายและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายสามารถปฏิสัมพันธ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากการพัฒนาของเครือข่ายทั้งในแง่ของความซับซ้อนและขอบเขตของบริการ สถาปัตยกรรมนี้ไม่เพียงแต่นำมาใช้กับการสนทนาทางโทรศัพท์ที่สื่อสารผ่านสายและไร้สายแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริการแบบ IP-based เช่น วอยซ์ โอเวอร์ ไอพี (Voice over IP) อีเมล อินสแตนท์ เมสเซจจิง (instant messaging) เป็นต้น ได้มีการนำสถาปัตยกรรมนี้มาใช้ทั่วโลก (ในบางกรณีจะมีการเปลี่ยนแปลงศัพท์ที่ใช้เรียกเพียงเล็กน้อย) รวมถึงในสหรัฐฯ ในปริบทของโครงสร้างกฎหมาย CALEA มีสามระยะในสถาปัตยกรรมนี้คือ 1) การเก็บรวบรวมข้อมูลและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย ที่ได้มาจากเครือข่าย 2) สื่อกลางที่จัดรูปแบบข้อมูลดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ และ 3) การส่งข้อมูลและเนื้อหาดังกล่าวให้กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย (law enforcement agency : LEA)
ข้อมูลที่ได้จากการลักลอบดักข้อมูล (เรียกว่า Intercept Related Information หรือ IRI ในยุโรปและ Call Data หรือ CD ในสหรัฐฯ) ประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของเป้าหมาย ได้แก่เป้าหมายของการโทรศัพท์ ( เช่น หมายเลขโทรศัพท์ของคู่สนทนา) ที่มาของการโทรศัพท์ (หมายเลขโทรศัพท์ของผู้โทรศัพท์) เวลาที่โทรศัพท์ ระยะเวลาของการโทรศัพท์ เป็นต้น เนื้อหาของการโทรศัพท์คือกระแสของข้อมูลการโทรศัพท์นั้น นอกจากนี้สถาปัตยกรรมนี้ยังมีเรื่องของการจัดการเกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูล ซึ่งครอบคลุมการสร้างและยกเลิกช่วงเวลาของการลักลอบดักข้อมูล กำหนดเวลา การชี้ตัวเป้าหมาย เป็นต้น การสื่อสารระหว่างผู้ประกอบธุรกิจเครือข่ายและ LEA ทำผ่านช่องทางที่เรียกว่าแฮนด์โอเวอร์ อินเทอร์เฟซ (Handover Interfaces : HI) โดยทั่วไปข้อมูลและเนื้อหาของการสื่อสารส่งจากผู้ประกอบธุรกิจเครือข่ายไปยัง LEA ผ่านทางวีพีเอ็น (VPN) แบบ IP-based ในรูปแบบที่เข้ารหัสลับไว้ การลักลอบดักข้อมูลการสื่อสารทางเสียงในแบบดั้งเดิมมักจะอาศัยการสร้างช่องทางสื่อสารไอเอสดีเอ็น (ISDN) ที่สร้างขึ้นในเวลาที่กระทำการลักลอบดักข้อมูลนั่นเอง
จากที่กล่าวไว้ข้างต้น สถาปัตยกรรม ETSI สามารถนำไปใช้กับบริการแบบ IP-based ซึ่ง IRI (หรือ CD) ขึ้นอยู่กับตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากแอพพลิเคชั่นที่กำหนดให้ถูกลักลอบดักข้อมูล ตัวอย่างเช่น ในกรณีของอีเมล ข้อมูล IRI ก็จะคล้ายคลึงกับข้อมูลในส่วนของเฮดเดอร์ (header) ของเนื้อหาอีเมล (เช่น ที่อยู่อีเมลปลายทาง ที่อยู่อีเมลต้นทาง เวลาที่ส่งอีเมลนั้น) เช่นเดียวกับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเฮดเดอร์ที่อยู่ภายในแพ็คเก็ตไอพี (IP packet) ที่นำเนื้อหานั้นมา (เช่น ที่อยู่ไอพีต้นทางของเครื่องแม่ข่ายอีเมลที่สร้างเนื้อหาอีเมลนั้น) แน่นอนที่ระบบลักลอบดักข้อมูลจะพยายามเก็บข้อมูลข่าวสารที่มีรายละเอียดมากเพื่อป้องกันการปลอมแปลงที่อยู่อีเมลซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ (เช่น การปลอมที่อยู่ต้นทาง) ในทำนองเดียวกัน วอยซ์ โอเวอร์ ไอพีก็มีข้อมูล IRI ของมันเอง รวมถึงข้อมูลที่ได้รับจากเนื้อหาของโปรโตคอล Session Initiation Protocol (SIP) ซึ่งใช้เพื่อสร้างและยกเลิกการติดต่อผ่านทาง VOIP
ในปัจจุบันคณะกรรมการ ETSI LI Technical Committee เน้นการทำงานไปที่การพัฒนารายละเอียดเกี่ยวกับ Retained Data Handover และ Next Generation Network รวมถึงการปรับปรุงมาตรฐาน TS102232 ให้เหมาะสมกับการใช้งานเครือข่ายในปัจจุบัน
มาตรฐานการตรวจสอบข้อมูลของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจเครือข่ายและผู้ให้บริการสามารถปฏิบัติตามกฎหมาย CALEA ที่ระบุไว้โดยคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใต้กฎหมาย CALEA) องค์กรของเคเบิลแล็บส์ และสมาพันธ์ Alliance for Telecommunications Industry Solutions (ATIS) มาตรฐานของ ATIS ครอบคลุมถึงมาตรฐานใหม่สำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์และบริการ VoIP รวมถึงมาตรฐาน J-STD-025B ซึ่งเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับ J-STD-025A ซึ่งเป็นมาตรฐานก่อนหน้า โดยรวมเอาการลักลอบดักข้อมูลเสียงแบบแพ็คเก็ต และเครือข่ายไร้สาย CDMA มาไว้ด้วย อย่างไรก็ตามกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ระบุว่ามาตรฐานเหล่านี้ทั้งหมดยังมีข้อบกพร่องในการปฏิบัติตามกฎหมาย CALEA อยู่
เครื่องมือทางกฎหมายระดับโลกที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับ LI คือ อนุสัญญาว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Convention on Cybercrime) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ.2001 ที่กรุงบูดาเปสต์ สำนักงานเลขาธิการของอนุสัญญาดังกล่าวคือ สภายุโรป (Council of Europe) อย่างไรก็ตามได้มีผู้ลงนามในอนุสัญญาดังกล่าวจากทั่วโลกและมีขอบเขตการบังคับใช้ทั่วโลก
แต่ละประเทศมีข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูลตามกฎหมายที่แตกต่างกันไป ที่ประชุม Global Lawful Interception Industry Forum ได้ลงรายการของข้อบังคับเหล่านี้จำนวนมาก รวมถึงสำนักงานเลขาธิการของสภายุโรป ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหราชอาณาจักร กฎหมายดังกล่าวเรียกว่า RIPA (Regulation of Investigatory Powers Act) ส่วนในสหรัฐฯ มีกฎหมายอาชญากรรมของรัฐบาลกลางและรัฐต่าง ๆ ในเครือจักรภพรัฐเอกราช เรียกว่า SORM
ยุโรป
ในสหภาพยุโรป ข้อมติของที่ประชุมคณะมนตรียุโรปเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1995 ในส่วนของ Lawful Interception of Telecommunications ได้กำหนดมาตรการที่คล้ายคลึงกับกฎหมาย CALEA สำหรับใช้ทั่วยุโรป ถึงแม้จะมีประเทศสมาชิกของ EU บางประเทศไม่เต็มใจยอมรับมตินี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัว (ซึ่งเป็นหลักการที่มีการกล่าวถึงอย่างชัดเจนในยุโรปมากกว่าสหรัฐฯ) อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าในปัจจุบันมันได้กลายเป็นข้อตกลงทั่วไปด้วยมตินี้ น่าสนใจที่ข้อบังคับเกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูลในยุโรปเข้มงวดมากกว่าสหรัฐฯ เช่น มีข้อบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจการสื่อสารทางเสียงและอินเทอร์เน็ตสาธารณะในเนเธอร์แลนด์จะต้องสนับสนุนความสามารถในการลักลอบดักข้อมูลเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว นอกจากนี้ สถิติที่เผยแพร่สู่สาธารณะยังชี้ให้เห็นว่าจำนวนของการลักลอบดักข้อมูลในยุโรปมีจำนวนเกินกว่าการลักลอบดักข้อมูลในสหรัฐฯ ถึงหลายร้อยครั้ง
ยุโรปยังคงดำรงไว้ซึ่งการเป็นผู้นำโลกในบทบาทส่วนนี้ โดยในปีค.ศ.2006 รัฐสภาและสภาที่ปรึกษาแห่งยุโรปได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยการเก็บรักษาข้อมูล (Data Retention Directive) ข้อกำหนดของระเบียบนี้ครอบคลุมถึงการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทางสาธารณะทั้งหมดอย่างกว้างขวาง และบังคับให้มีการดักจับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงสถานที่ของการสื่อสารทั้งหมด ต้องเก็บข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อยสองปี และเตรียมพร้อมสำหรับการเรียกตามกฎหมาย มีประเทศอื่น ๆ ที่เอาอย่างระเบียบนี้อย่างกว้างขวาง
สหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐฯ มีข้อบังคับสองฉบับของรัฐบาลกลางที่นำมาใช้กับการลักลอบดักข้อมูลส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งให้ดำเนินการตามกฎหมายท้องถิ่น กฎหมาย Omnibus Crime Control and Safe Streets Act ปีค.ศ.1968 หัวข้อที่สามมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบดักข้อมูลตามกฎหมายเพื่อการสืบสวนอาชญากรรม กฎหมายที่สอง Foreign Intelligence Surveillance Act หรือ FISA ปีค.ศ.1978 แก้ไขโดยกฎหมาย Patriot Act วางระเบียบในการดักข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ในการหาข่าวกรอง ประเด็นในการสืบสวนจะต้องเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติหรือบุคคลที่ทำงานเป็นสายลับให้กับต่างชาติ ผู้ดำเนินการรายงานประจำปีของศาลสหรัฐฯ ระบุว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้ายาเสพติด มักพบว่าโทรศัพท์มือถือเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ถูกลักลอบดักข้อมูลอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อช่วยบังคับใช้กฎหมายและเอฟบีไอให้บรรลุผลในการดำเนินการดักข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาของการสื่อสารเสียงแบบดิจิทัลและเครือข่ายไร้สาย เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1990 มีส่วนผลักดันให้รัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย CALEA ในค.ศ.1994 กฎหมายนี้ได้ให้ขอบข่ายตามกฎหมายของรัฐบาลกลางสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเครือข่ายในการให้การสนับสนุน LEA ในการจัดเตรียมหลักฐานและข้อมูลข่าวสารด้านยุทธวิธี ในปีค.ศ.2005 ได้มีการนำกฎหมาย CALEA มาใช้กับการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สาธารณะและบริการวอยซ์ โอเวอร์ ไอพีที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายโครงข่ายโทรศัพท์สวิตช์สาธารณะ (Public Switched Telephone Network : PSTN)
ที่อื่น
ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกรักษาข้อบังคับด้าน LI คล้ายคลึงกับยุโรปและสหรัฐฯ และได้เปลี่ยนมาใช้มาตรฐานของ ETSI อนุสัญญาว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้บังคับให้มีความสามารถนี้ด้วย
การใช้ที่ผิดกฎหมาย
นอกจากจะเป็นเครื่องมือบังคับใช้กฎหมายแล้ว ระบบ LI ยังอาจถูกใช้ในจุดประสงค์ที่ผิดกฎหมายด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศกรีซ ในระหว่างการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ปีค.ศ.2004 Vodafone Greece ผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์ถูกปรับเป็นเงิน 1,000,000 เหรียญสหรัฐฯ ในปีค.ศ.2006 เนื่องจากไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับระบบเพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ผิดกฎหมาย
นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman & Kiattisak Somwong
เรียบเรียง