เรื่องสาวญวนในอดีตที่ขอจดจำ


ประวัติของ เถิ่ม ถุย หั่ง หรือ ถั่ม ถุย หั่ง ถ้าออกเสียงแบบสำเนียงใต้ของเวียดนาม (Thẩm Thúy Hằng )
เถิ่ม ถุย หั่ง Thẩm Thúy Hằng เป็นดาราเวียดนามที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เป็นดาวจรัสแสงแห่งภาพยนตร์พานิชย์ของเวียดนามใต้ ตั้งแต่ช่วงปลาย ทศวรรษที่ 1950 ถึง ปลาย 1970 เธอเล่นภาพยนตร์มากมาย ซึ่งก็มีภาพยนตร์เวียดนามที่ร่วมหุ้นกับต่างชาติด้วย ชื่อเสียงของเธอจึงไม่ได้แค่โด่งดังในเวียดนาม แต่เป็นที่รู้จักในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย

เถิ่ม ถุย หั่ง ชื่อจริง ชื่อ เหงวียน กิม ฟุ่ง เกิดเมื่อปี 1941 (พ.ศ. 2484) ที่เมือง ห่าย ฟ่อง ( Hải Phòng ) เมืองท่าทางภาคเหนือของเวียดนาม แต่ต่อมาได้ย้ายถิ่นตามครอบครัวมาอยู่ภาคใต้ของเวียดนาม และเติบโตที่ ในจังหวัด อาน ซาง (An Giang ) (อยู่ตอนใต้ของ ไซ่ง่อน หรือนครโฮจิมินห์ ในปัจจุบัน ลงไปอีก) เมื่ออายุ 16 ปี นางสาว กิม ฟุ่ง ได้ไปสมัครเพื่อสอบคัดเลือกเป็นดาราภาพยนตร์ของ บริษัทภาพยนตร์ หมี เวิน โดยที่พ่อแม่ของเธอไม่ทราบ และเธอก็ได้รับการคัดเลือกจากผู้ที่เข้ามาสมัครถึง 2,000 คน เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ หมี เวิน ( Mỹ Vân ) ก็ได้ตั้งชื่อเพื่อใช้ในการแสดงให้เธอว่า Thẩm Thúy Hằng เถิ่ม ถุย หั่ง
การแสดงในบทบาทแรกของเธอ คือ บทของ ตาม เนือง ในภาพยนตร์เรื่อง คนงาม แห่ง บิ่ง เซือง
(Người đẹp Bình Dương – เหงื่อย แด็บ บิ่ง เซือง) ในปี 1958 (พ.ศ. 2501) ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เธอโด่งดังเป็นที่รู้จัก หลังจากนั้นเธอก็ได้แสดงภาพยนตร์ต่อมาอีกมากมาย ทำให้เธอเป็นดาราของเวียดนามที่แสดงภาพยนตร์มากที่สุดคนหนึ่งในยุค ปลาย 1950 ถึง 1960
ในปี 1969 (พ.ศ. 2512) เธอก็ได้จัดตั้งกลุ่มผลิตภาพยนตร์ของตัวเองด้วย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบริษัท Vilifilms ซึ่งโด่งดังต่อมาหลังจากนั้น
นอกจากภาพยนตร์แล้ว เธอก็ยังแสดงละครเวที และ ก่าย เลือง (เป็นการแสดงละครดั้งเดิม ของทางภาคใต้เวียดนาม) ด้วย
หลัง ปี 1975 (พ.ศ. 2518) ซึ่ง เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ได้รวมกันแล้ว เธอก็ยังอยู่ในเวียดนาม และยังได้แสดงภาพยนตร์ต่อมาอีกหลายเรื่องด้วย
ในปัจจุบัน เธอได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเวียดนาม ให้เป็น ศิลปินดีเด่นของชาติ (Nghệ sĩ ưu tú- เหงะ สี อิว ตู๋) สามีของเธอ คือ เหงวียน เซวียน แหว๋ง ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วย นายกรัฐมนตรีด้านการธนาคาร(การคลัง)ของเวียดนามใต้ แต่หลังจากปี 1975 แล้ว เขาก็ได้เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจ ให้แก่ เลขานุการ เหงวียน วัน ลิง และ นายกรัฐมนตรี หวอ วัน เกียด (Võ Văn Kiệt ) ด้วย

จาก: แฟนหนังและเพลงเก่า
ขอบันทึกเก็บไว้ในความทรงจำ
เว็บหนังไทยเก่า : http://www.thaifilm.com/

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

Web Forensics

Computer Forensics Training with open source toolsในเร็วๆ เราคงได้ทราบข่าวมาว่ามีการบุกรุกเข้าไปเปลี่ยนหน้าเว็บไซด์ราชการที่สำคัญ มาบ้าง และก็มักจะหาผู้กระทำผิดได้ยาก เนื่องจากขาดระบบการเก็บ Log ที่ถูกต้อง ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ว่าด้วยการเก็บ Log ในชนิดของ Web Servers มีข้อบังคับในการเก็บ Log ดังนี้

ประกาศ สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

Web Servers ชนิดของข้อมูลอินเทอร์เน็ตบนเครื่องผู้ให้บริการเว็บ
HTTP log ข้อมูล log ที่บันทึกเมื่อมีการเข้าถึง web server
Date and time of connection of client to server วัน และเวลาการติดต่อของเครื่องที่เข้ามาใช้บริการและเครื่องให้บริการ
IP source address หมายเลข IP ของ ISP ของเครื่องเข้าใช้บริการเชื่อมต่ออยู่
Operation (types of command)

รูปแบบคำสั่งในการเข้ามาใช้ อย่างเช่น search?info=xxx

เป็นการค้นหาข้อมูลโดยข้อมูลที่ค้นหาคือ xxx

Path of the operation เส้นทางในการเรียกดูข้อมูล
Last visited page หน้าล่าสุดที่ได้เข้าถึง
Response codes รหัส code ที่เครื่องให้บริการตอบสนองออกไป

SRAN Web Identity ออกแบบเพื่อเก็บ Log Web Server จากศูนย์กลาง
ที่เราจะทราบได้เมื่อเปรียบเทียบกับข้อบังคับการเก็บ Log ของ Web Server ตาม พ.ร.บ จะเห็นว่าระบบนี้สามารถทำตามมาตรฐานการเก็บ Log Web Server ที่กำหนดไว้ได้

1
รูปที่ 1 การแสดงผลสำหรับ User ทั่วไปที่ไม่ได้ลงทะเบียนสมัคร SRAN Web Identity

SRAN Web Identity เป็นระบบเก็บ Log เว็บไซด์ แบบ Real Time และเป็นการเก็บ Log จากศูนย์กลาง
เราทราบถึงช่วงเวลา ในการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซด์ และระบบปฏิบัติการ และชนิดของบราวเซอร์ สำหรับผู้ที่ไม่ได้สมัครสมาชิก จะเห็นว่า IP ที่ปิดบังไว้ .x.x สำหรับผู้ได้สมัคร SRAN Web Identity จะเห็น IP ที่เต็มไม่ได้ซ่อนเร้น

56

รูปที่ 2 ภาพแสดงผลหน้าจอสำหรับผู้ที่สมัครสมาชิก

2
รูปที่ 3 แสดงการเยี่ยมเข้าขมเว็บไซด์ตาม ปี เดือน วัน และ ช่วงเวลา

เราสามารถระบุตำแหน่งผู้เปิดเว็บไซด์ จากเทคโนโลยี gooogle map

45

รูปที่ 4 ผลการแสดงระบุต่ำแหน่งที่อยู่ของ IP ที่เปิดหน้าเว็บไซด์ในขณะนั้น และสามารถดูย้อนหลังดูได้

webid_html_7528507

หากเราใช้ SRAN Web Identity จะช่วยตรวจหาที่มาที่ไป ของการเยี่ยมชมเว็บไซด์ ทั้ังมีเจตนาดีและไม่ดี ได้ระดับหนึ่ง ต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ http://map.sran.net/webid

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

Good morning sunshine


.. ถนอมยามเช้าเอาไว้ เพื่อใจทั้งวันจะแจ่มใสเหมือนประกายแดด
อย่ายินยอมให้มือใดฉีกทึ้งมัน
ด้วยเหตุผลอันแข็งกระด้าง
ด้วยกรอบคิดอันคับแคบ
อย่าฉีกยามเช้าของเธอ
อย่าฉีกยามเช้าของฉัน
ปล่อยให้บทกวีกังวานไหวอยู่ในเรา

ด้วยชีวิตนั้นแสนสั้นนัก ….

เมื่อวันก่อนเปิดวิทยุได้ยินเสียงคุ้นเคยยามเช้า
ดีเจหนุ่มใหญ่ มาโนช พุตตาล อ่านบทกวีก่อนเปิดเพลงไพเราะ ผมนั่งฟังน้ำเสียง และเนื้อหาบทกวีนี้ ด้วยความประทับใจ กวีนี้อยู่ในหนังสือ ความเรียงมีปีก นกชีวิต

“มีอะไรบ้างที่เคยหลงลืม หรือมองข้ามไปใน ระหว่างทางเดินของชีวิต การเดินเร็วเป็นการใช้ชีวิตตามกระแส แต่มิใช่การเข้าใจชีวิต บางครั้งการเดินทอดหน่องช้าๆ พลางมองเพื่อเห็น สิ่งรอบกายพร้อมหันกลับไปมองย้อนหลังบ้าง อาจทำให้เรา รู้จัก ชีวิตมากขึ้น ฤดูกาลที่ผ่านเลยควรเปิดดวงตาของเรากล่อมเกลาความกระด้าง และเติมความละมุนในดวงใจ”

สำหรับผมแล้วคิดว่า
แสงแดด ที่ส่งมาปะทะผิวกายเรา เมื่อเรามองขึ้นสูง เพื่อสัมผัสความยิ่งใหญ่ แม้ตาของเราจะต้องพ่่ายแพ้ต่อแสง แต่กายเรากับอบอุ่น และพร้อมตั้งความหวัง เพื่อยามเช้าที่สดใส สลายความเศร้าที่มืดมน แสงแดดช่วยชีวิตเรา ให้สร้างชีวิตใหม่ สิ่งแปลกเปลื้อนคงจางหาย หากใจไม่คิดถึง เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป เช่นดั่งยามเช้าที่ควรถนอมเอาไว้ ในความรู้สึก จวบข้ามวันใหม่

Riders On The Storm เพลงของ The Doors

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman
24/07/07
อ้างอิงบางวลีจาก หนังสือ ความเรียงมีปีก นกชีวิต ของเรวัตร์ พันธ์พิพัฒน์

Final count down


10 … 9 .. 8 .. 7 … เรามักนับถอยหลังเพื่อ แสดงความยินดี กับสิ่งที่เรารอคอยอยู่ จริงไหมว่า ทำไม ปีใหม่เราต้องนับถอยหลังจากสิ้นปี ไปข้ามคืนวันใหม่ ของปีใหม่ ทำไมเราต้องนับถอยหลัง เมื่อเวลา จะปล่อยม้าออกจากลู่วิ่ง และลุ้นต่อไปว่าม้าตัวนั้นจะเข้าสู่เส้นชัย ทำไมเราต้องนับถอยหลัง กับเหตุการณ์อนาคต .. คำตอบคือว่าเพื่อเป็นการแข่งขันอย่างยุติธรรมนะสิ จากตัวเลขและการสมมุติของเราเอง ผลลัพธ์คือความหวังเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเรานั่นเอง
จากหนังสือเล่มหนึ่งของ ลุค เดอ บราบองแดร์ The Forgotten Half of Change กล่าวในตอนหนึ่งว่า
“ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นอะไรก็ตาม สิ่งที่เราประสบมาในอดีตจะสร้าง แกน ให้กับระบบของเราในอนาคต ซึ่งก็ยังคงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่เรารู้มาตั้งแต่ 500 ปีแล้วว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่เราก็ยังคงเห็นดวงอาทิตย์ตก มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนมักกล่าวว่าสติปัญญาที่อยู่ในสมองส่วนหน้าไม่่สื่อสารกันเอง
นอกเหนือจากข้อเท็จแล้ว ความเชื่อมั่นก็มีส่วนสำคัญต่อเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคำว่า เชื่อ และเห็น ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ทางเดียวแน่นอนว่าเราเชื่อสิ่งที่เราเห็น แต่บางครั้งเราก็เห็นสิ่งที่เราเชื่อ ถ้าคุณเชื่อว่าใครสักคนเป็นคนดี คุณก็จะเห็นความดีในตัวคนๆ นั้น”

เราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็น แต่เราเห็นมันอย่างที่ เราเป็นต่างหาก

มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับตัวเลข ก็คือ เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 จริงๆแล้วมันไม่แปลก แต่ความบังเอิญของวันเดือนและปี เป็นเลขชุดเดียวกัน ทำให้มันแปลก บางทีไม่ได้ยึดติดกับเวลา เช่น ศูนย์ข่าว CNN มีนาฬิกาบอกเวลา เพียงเข็มเดียว คือเข็มนาที และผู้ประกาศข่าวไม่กล่าวคำว่า อรุณสวัสดิ์ ไม่กล่าวคำว่า ราตรีสวัสดิ์ ไม่มีคำว่า ลาก่อน หรือ พบกันใหม่ แต่พวกเขาจะกล่าว ว่า ขอต้อนรับเข้าสู่ข่าว เป็นเช่นนี้ตลอด 24 ชั่วโมง CNN ต้องการเป็นผู้นำด้านข่าวตลอดเวลา ทั่วทุกมุมโลก แปลกแต่จริง เรามักจะพูดว่าไม่มีเวลา ทั้งที่เวลาไม่มีตัวตนทางวัตถุ เลย ในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 จึงเป็นเพียงการสมมุติทางโลกที่ตั้งขึ้นเท่านั้น ชีวิตเราเป็นอย่างไรบ้างในวันนั้น … เราจะเห็นโลกอย่างที่มันเป็น หรือ เราจะเห็นโลกอย่างที่เราเป็น กัน

เราเห็นโลก อย่างที่มันเป็น
เมื่อนับย้อนหลังไปในอดีต วันที่ 7 เดือน 7 ที่ผ่านมา

เราเห็นโลกอย่างที่เราเป็น
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้อ่านข่าวว่า มีคุณแม่ท้องแก่อุ้มท้อง ไปทำคลอดโดยนั่งรถเท็กซี่หมายเลขทะเบียน 7777 ในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 เด็กที่เกิดใช้ชื่อน้อง เซเว่น (seven) ชังบังเอิญได้ขนาดนั้น
เหตุการณ์ในต่างประเทศ มีเหตุการณ์สำคัญๆ คือ มีการจัดคอนเสิร์ต กู้วิกฤติโลกร้อน Live Earth
มีการจัดอันดับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลกใหม่ (ประเทศที่ ถูกจัดสถานที่ไว้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ชูถ้วยเหมือน บอลโลกเลย เมื่อดูจากข่าว)
เหตุการณ์อื่นๆ ที่พบในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 มีหลายประเทศจัดแต่งงานจำนวนมาก เพราะถือวันเป็นวันดี โดยรวมทั่วโลก แล้ววันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 คนส่วนใหญ่มีความสุข และมีเหตุการณ์มากมาย ในวันเดียวกัน

สำหรับผมแล้ว วันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 เป็นวันเหนื่อยพอสมควร ่ฝนตกตลอดช่วงเย็นเลย อีกทั้ง คืนวันนั้นแทบไม่ได้นอนอีกด้วย ถึงไงโดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นวันที่ผมมีความสุขดี เพราะการอดนอนนี้เอง : )

ช่วงเย็น ได้ขับรถไปสถานที่หนึ่ง ท่ามกลางฝนพร่ำๆ ได้เปิดคลื่นวิทยุ radio rock 99.5 FM เปิดเพลง Final Count Down ที่เคยโด่งดังมากในยุคหนึ่ง และสร้างพลังให้ต่อสู้ดี เหมือนกับว่า เราต้องนับถอยหลัง เพื่อตัดสินใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ มันสำคัญกว่า ตัวเลข ในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 แน่นอน

็ขอให้ ทุกคน มีเวลาที่ดี เข้าสู่ชีวิต จะได้สราญอารมณ์ ไม่ต้องเก็บความทุกข์ ครับ แบ่งปันเพลงนี้ให้ฟัง I Had a Good Time ของ Boston ลองฟังดู

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

europe final count downAdd to My Profile | More Videos

แหล่งข้อมูลอื่นๆ
เพื่อนเก่า Boston http://nontawattalk.blogspot.com/2007/02/boston.html
รูปจาก http://www.smh.com.au/
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/7_กรกฎาคม
หนังสือครึ่งที่ถูกลืม The Forgotten Half of Change เขียนโดย Luc De Brabandere แปลโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐชยา เฉลยทรัพย์ (ขอชมว่าแปลได้ดีมากครับ)

By your Side


บทสัมภาษณ์ในหนังสือ By your Side ฉบับที่ 27 เดือนกรกฎาคม ของ Ineternet Thailand (inet) เนื้อหาพูดเกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัย บนระบบเครือข่ายสารสนเทศ และที่มาของคำว่า “SRAN” เทคโนโลยีด้านความมั่นคงทางข้อมูลของคนไทย สามารถอ่านและชม Clip Video ได้ที่ http://www.inet.co.th/about/news_magazine.php
http://www.inet.co.th/about/video.php?wmv=sran_256k.wmv

อื่นๆ
บางส่วนการบรรยายในงานเปิดตัวบริการ Cyfence จาก CAT Telecom ตุลาคม 2549

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

Certification กับความงมงาย


ผมเคยสอบใบประกาศนียบัตร (Certification) ของ Cisco เมื่อ 5 ปีก่อนและได้รับในระดับ CCNA มาแล้ว ในระดับคะแนนที่สูงใช้ได้ พอเวลาผ่านไป ผมมีงานมากมายที่ต้องทำตลอด จึงไม่่ได้ปีกตัวเพื่อไปแสวงหาใบประกาศนียบัตรให้มากมาย , หลายปีผ่านมาผมเองไม่ได้สนใจ Certification ตามกระแสสังคมเลย กับละทิ้งและโยนทิ้ง CCNA ใบที่ควรค่านั้นทิ้งลงถังขยะ อย่างไม่คิดเสียดาย
(รูปจาก http://www.tga-gmbh.de/)

มาช่วงนี้เมื่อดูประกาศการจัดซื้อจัดจ้างและงานที่ต้องเฝ้าบำรุงรักษาระบบเครือข่ายตามองค์กรต่างๆ มักเขียนไว้ว่าต้องการคนที่มี Cert ฯ ครับเป็นสิ่งที่ดี ที่ได้รับคนที่มาปฏิบัติงาน ที่รู้เรื่อง แต่ใบเหล่านี้ ส่วนตัวผมคิดว่ามันก็เป็น
เพียงสิ่งงมงาย
ที่ผ่านมา เห็นนักศึกษาใกล้จบ ต่างเรียงคิวเพื่อสอบใบประกาศนียบัตร เพื่อที่ได้งานทำที่ดี และเงินเดือนสูงๆ ไม่่แปลกอะไรหลอกครับ เพราะมันเป็นแฟชั่น เมื่อก่อนผมก็เป็นเช่นนั้น แต่มาถึงตอนนี้ มีความคิด ความอ่านที่มากขึ้น จึงมองเห็นว่า ทุกอย่างมันมีได้ และมีเสีย การมีใบประกาศนียบัตร เป็นสิ่งที่ดีในแง่ ได้ความรู้ จะดียิ่งขึ้นหากเราไม่ตกเป็นทาสกับใบที่เราสอบได้ นั่นเอง ข้อเสียก็คือเราก็เป็นเพียงผู้ใช้งาน กับมาตรฐานที่คนอื่นเขียนให้ เป็นเครื่องมือของการค้า การตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้านั่นไปเสียแล้ว

ผมมองว่าใบประกาศนียบัตร (Certification) เป็นเพียงใบเปิดทาง เป็นเพียง ผู้ใช้งาน (User) ตามแบนด์ของสินค้านั้นๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายถึงจะเป็นผู้วิเศษ ในขณะที่ ใบประกาศนียบัตร (Certification) ทางระบบสารสนเทศเฉพาะทาง มี 2 แบบใหญ่ คือ
– ใบประกาศนียบัตร เฉพาะทาง ใช้กับสินค้า ได้แก่ Cisco , Microsoft , SUN , Redhat อื่นๆ อีกมากมาย เป็นต้น
– ใบประกาศนียบัตร เฉพาะทาง ไม่ได้ยึดติดกับเทคโนโลยี ของสินค้า ได้แก่ CISSP , CISA , GIAC และอื่นๆ
เมื่อมองดูชั้นในของใบประกาศนียบัตร เหล่านี้ ก็ไม่ต่างกับการ เครื่องหมายการค้า ที่เราพร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อ เพื่อสำคัญตนเองว่า มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง

ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ก็เพราะ ผมไม่อยากให้คนไทยยึดที่ใบประกาศนียบัตรพวกนี้มากมายเกินไปนัก เสียเงิน เสียเวลา เพื่อทุนเท เกินไป มันฟุ่มเฟื่อย ยิ่งแบบที่ยึดติดกับสินค้า หรือเทคโนโลยี นั่นแล้วยิ่งอย่าไปยึดติดเลยครับ เพราะเมื่อไหร่ เวอร์ชั่นมีการเปลี่ยนแปลงเราก็ต้องไปสอบใหม่ เปลี่ยนเทคโนโลยี ก็ต้องไปสอบใหม่ เราก็ตกเป็นเครื่องมือของ ผู้นำเข้าสินค้านั่น ไม่ได้มีองค์ความรู้อย่างแท้จริง
เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างน่าเชื่อถือ หรือ ตกเป็นเหยื่อของ เทคโนโลยี จากผลิตภัณฑ์นั่นไปเสียแล้ว ดูจากเจตนาแล้วหลายค่าย พยายามสร้างความเชื่อนี้ ในสถาบันการศึกษาของประเทศไทย ปลูกฝั่งตั้งแต่เรียน จน เรียนจบคิดว่า ผลิตภัณฑ์นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด สำหรับเขา ตกเป็นทาสทางเทคโนโลยี โดยยินยอม

สิ่งที่อยากให้เป็น คือ เราควรนำความรู้ที่ได้จากการสอบใบประกาศนียบัตรเฉพาะทาง ตามมาตรฐานของฝรั่งเขา มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เสมือนหนึ่ง กระบี่อยู่ที่ใจ ที่ผมเน้นนักจะดีกว่า เชื่อผมหรือไม่ว่า คนทำ Router ได้รู้กลไกลการทำงานของ Router ทั้งหมดอาจไม่ได้ CCIE ก็ได้ แต่คนที่สอบได้ถึงระดับ CCIE คือ ผู้ใช้ อย่างชำนาญ อาจไม่สามารถที่จะสร้าง Router ได้เองได้เลย
ดังนั้นใบประกาศนียบัตร ที่ดี คือ ประสบการณ์จริงที่ได้ทำงานในด้านที่ตนเองถนัด อย่างชอบธรรม และนำความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ ถ่ายทอด ให้ความรู้กับผู้อื่น และสร้างนวัตกรรมใหม่ ที่มีประโยชน์กับสังคม คนผู้นั้นจึงน่ายกย่อง อย่างแท้จริง
หลายคนคงคิดว่าผมเป็นพวกแอนตี้สังคม ไม่่ทำตามกระแสสังคมนัก ก็เพราะผมเป็นพวกนักรบนอกสังเวียนนะสิ โดยจิตวิญญาณผมแล้วอยากให้สังคมที่เราอยู่ดีกว่าที่เป็นอยู่ มีความคิดที่หลายมิติขึ้น โดยเฉพาะมุมมองด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

เลิกใช้ windows

ปกติในการเขียน blog ผมได้ใช้ระบบปฏิบัติการ windows ในการสร้างบทความมาโดยตลอด อาจมีการสลับการใช้งานระบบปฏิบัติไปบ้างในบางครั้ง โดยปกติเครื่อง notebook ส่วนตัวมี สองระบบปฏิบัติการ คือ boot linux สลับ Windows ตามอารมณ์ แต่มาตอนนี้ ผมประกาศเลิกใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows เครื่องนี้ปัจจุบันไม่มีระบบปฏิบัติที่เป็น Windows อยู่เลย

ก่อนหน้านี้ผมได้ประกาศเลิกใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัส ทุกค่ายไปเรียบร้อยหมดแล้ว ใช้แต่ของที่พัฒนาเองคือ SRAN Anti virus (พัฒนาต่อยอดจากซอฟต์แวร์ Open Source Clamav) เหตุผลที่เลิกใช้ ซอฟแวร์เหล่านี้ ทั้งที่เลิกยากพอๆกับติดเหล้า ติดบุหรี่เชียวล่ะครับ
เหตุที่เลิกใช้ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการ Windows มี 2 เหตุผลหลัก

เหตุผลข้อแรก หลังๆ ผมสังเกตเห็นพฤติกรรมความไม่ปกติ ที่เกิดขึ้นกับข้อมูลส่วนตัว เมื่อเราใช้งานซอฟแวร์ที่มีการระบุ License เมื่อมีการอัพเดทข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ท เพียงแค่เกิดความสงสัยส่วนตัว ไม่ได้แอนตี้บริษัท Microsoft ไม่ได้แอนตี้บริษัทที่ทำซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสแต่อย่างใด

เหตุผลข้อที่สอง ผมไม่อยากยึดติดกับข้อผูกมัดทางธุรกิจ และเพื่อไม่เป็นการแอบใช้ซอฟต์แวร์เถื่่อน ที่ถือได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ทางปัญญาผู้ผลิตเทคโนโลยีนั้น

ปัจจุบันผมได้ลงระบบปฏิบัติการ Ubantu เป็นสายพันธ์ที่พัฒนาต่อจาก Debian Linux ่สามารถควบคุมซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ใช้งานได้ พร้อม Source Code แก้ไขเองได้ ไม่ต้องระวังเรื่องการละเมิดลิขสิทธ์ซอฟต์แวร์ และเพื่อทำตัวเอง เป็นตัวอย่่าง ในการใช้งานอินเตอร์เน็ท แบบมีวินัย มีความตระหนัก (Awareness) และระมัดระวังแบบมีสติ โดยควบคุม พฤติกรรมการใช้งานก็เหมือนมีเกาะคุ้มกันภัยในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เวลาใช้งานอินเตอร์เน็ทแล้ว

ขณะนี้เราตกเป็นทาสทางเทคโนโลยีไปแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว ปัจจุบัน ประเทศไทยสูญเสียเงินค่าลิขสิทธ์ซอฟต์แวร์จำนวนมาก วิธีการหนึ่งที่จะลดค่าใช้จ่ายเหล่านั้นได้คือต้องสร้างคนให้หันมาใช้ระบบ ปฏิบัติการที่เป็น Open source และซอฟต์แวร์ Open Source กันมากขึ้น พร้อมทั้ง สร้างองค์ความรู้ในการต่อยอดจาก Open Source จากโค้ดที่ให้มานำมาประยุกต์ใช้ต่อยอดต่อไป ทำให้เรามีภูมิต้านทานด้านเทคโนโลยีเองได้โดยปริยาย


นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

ลมหายใจระบบเครือข่าย

หากลมหายใจของคนเรา มีการหายใจเข้า และ ออก รับออกซิเจนเพื่อการดำรงชีวิต ลมหายใจของระบบเครือข่าย ก็เป็นเช่นกันแต่แทนที่เป็นอากาศ กับกลายเป็นข้อมูลสารสนเทศ หรือที่เรียกว่า Information Data ที่เข้า และ ออก ตลอดเวลาในระบบเครือข่ายที่เราใช้งาน …

ทุกครั้งที่ผมมีบรรยายเกี่ยวกับระบบ Network Security ผมมักจะกล่าวถึงหลักการของ 3 in 3 out เสมอ เป็นการพิจารณาจากความรู้สามัญทางด้านระบบเครือข่าย (Back to the Basic) เพื่อใช้ในการตัดสินใจวิเคราะห์ปัญหาระบบเครือข่าย และสถานะการณ์ที่เป็นอยู่จริงบนโลก IT เพื่อใช้ในการเชื่อมข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ท (Information Technology Ontology)

3 in 3 out ออกเสียงว่า “ทรีอิน ทรีเอาต์” เป็นศัพท์ที่ผมตั้งขึ้นเอง ไม่มีในตำราเล่มใด
จุดประสงค์ที่เรียกศัพท์เช่นนี้ก็เพื่อ
1. ทำให้เข้าใจง่าย สำหรับการอธิบายความสัมพันธ์ การใช้งานบนระบบเครือข่ายในแต่ละชั้น
2. เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ถึงการไหลเวียนข้อมูลสารสนเทศ (Information) บนระบบเครือข่ายที่เป็นอยู่จริง
3. เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาระบบเครือข่าย และ เส้นทางลำเลียงข้อมูลสารสนเทศ ที่มีผลต่อภัยคุกคาม

3 in 3 out สามารถมองได้ 2 มุม คือ
มุมที่ 1 การไหลเวียนข้อมูลสารสนเทศที่เป็นอยู่จริง ตามกฏเกณฑ์ OSI 7 Layers และ TCP/IP
มุมที่ 2 ภัยคุกคามที่เกิดขึ้น ระหว่างการใช้งานข้อมูลสารสนเทศ ที่แบ่งได้เป็น ภัยจากภายนอกเข้าสู่ภายในระบบเครือข่าย (Intrusion) และ ภัยจากภายในออกสู่ภายนอกระบบเครือข่าย (Extrusion) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ สืบหาภัยคุกคามที่เกิดขึ้น

3 in 3 out คือการกำหนดลมหายใจ ของระบบเครือข่าย
เป็นเส้นทางลำเลียงข้อมูล เข้า และ ออก ไป บนการใช้งานจริงของเรา

ข้อมูล ที่เข้า และออก ในระดับ Internet เป็นข้อมูลจากโลกภายนอก ระดับ ISP (Internet Services Provider) หรือมองในระดับ WAN Technology ที่กำลังเข้าสู่ระบบเครือข่ายที่เราใช้งาน และ เป็นข้อมูลที่เราจะต้องทำการติดต่อออกไป จากภายในเครือข่ายที่เราใช้งาน เพื่อติดต่อออกไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ ได้แก่ เราต้องการเปิด Web ไม่ว่าเป็นเว็บภายในประเทศ หรือ นอกประเทศ ก็เป็นการเชื่อมต่อแบบ HTTP port 80 ที่เป็นการติดต่อแบบ TCP การส่ง E-mail เชื่อมต่อแบบ SMTP port 25 ที่เป็น TCP เป็นต้น
ภายในระบบเครือข่ายของเรา ออกไปข้างนอก ต้องผ่านอุปกรณ์ Router จากฝั่งของเรา เพื่อไปยังจุดหมาย และเส้นทางลำเลียงข้อมูลสารสนเทศ จะดำเนินตามหลัก OSI 7 layer และ TCP/IP
พิจารณา Intrusion ภัยคุกคามทางข้อมูลที่ได้รับจากเส้นทางลำเลียงข้อมูลจาก ISP เข้าสู่ระบบเครือข่ายของเรา ส่วน Extrusion ภัยคุกคามทางข้อมูล ขา ออกเครือข่ายของเราไปยังโลกอินเตอร์เน็ท
อุปกรณ์ที่เราควรพิจารณา เส้นทางการลำเลียงข้อมูลเพื่อใช้ในการทำสืบหาการกระทำผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Network Forensics) ข้อมูลของ Log ที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ Router ตามเส้นทางเดินทางของข้อมูล ทั้ง เข้า และ ออก ไปยังที่หมาย


ข้อมูล ที่เข้า และออกในระดับ Network เป็นข้อมูลจากเครือข่ายที่เราอยู่ ในระดับ LAN เราจะเริ่มพิจารณา ข้อมูล ที่เข้า และออกในระดับที่ ระดับชายแดนเครือข่าย (Perimeter Network) ตั้งแต่อุปกรณ์ Router ฝั่งเครือข่ายของเรา
พิจารณา Intrusion ภัยคุกคามทางข้อมูล ขา เข้าสู่ระบบเครือข่ายของเรา เป็นการเดินทางของข้อมูลจากอุปกรณ์ Router ฝั่งเครือข่ายของเรา ไปยัง Perimeter Network เข้าสู่วง LAN
พิจารณา Extrusion ภัยคุกคามทางข้อมูล ขา ออกจากระบบเครือข่ายของเรา จากวง LAN ไปสู่ Perimeter Network
ิอุปกรณ์ที่เราควรพิจารณา เส้นทางการลำเลียงข้อมูลเพื่อใช้ในการสืบหาการกระทำผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Network Forensics)
ทาง ขาเข้า คือ ข้อมูลของ Log ที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ Internal Router , Network Firewall ,Core Switch , NIDS/IPS Access Switch , Proxy และ อุปกรณ์ Access Point (AP) เป็นต้น



ข้อมูล ที่เข้า และออกในระดับ Host
เป็นข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน ในระดับ End Point ได้แก่ เครื่องแม่ข่าย (Computer Server) , เครื่องลูกข่าย (Computer Client) , Note book , PDA เป็นต้น
ข้อมูลในระดับ Internet เข้าสู่วง LAN และไปสิ้นสุดที่ End Point
พิจารณา Intrusion ภัยคุกคาม ขา เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา (Host) เป็นการเดินทางข้อมูลจากเครือข่ายของเรา (LAN) ในจุดต่างๆ เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่อาจเป็นเครื่องแม่ข่าย , เครื่องลูกข่าย หรืออื่นๆ และแสดงผลข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ปลายทางที่เรียกใช้ข้อมูล
การพิจารณา Extrusion ภัยคุกคาม ขา ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา (Host) ผ่านไปยังระบบเครือข่ายของเรา (LAN) ออกสู่ Perimeter Network และเดินทางไปสู่โลกอินเตอร์เน็ท (Internet)
เราควรพิจารณา เส้นทางการลำเลียงข้อมูลเพื่อใช้ในการสืบหาการกระทำผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ในส่วนนี้คือ Log ที่เกิดจากอุปกรณ์ End point ได้แก่ เครื่องแม่ข่าย (Server) , เครื่องลูกข่าย (Client) , อุปกรณ์มือถือที่เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายใน ออกสู่อินเตอร์เน็ทได้

Ontology ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เริ่มบรรเลงขึ้นพร้อมกับภัยคุกคามที่แฝงมากับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้งานต่อไป ตราบเท่าที่ระบบสารสนเทศยังมีใช้งานอยู่

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

บทความเกี่ยวข้อง สมุทัย เหตุของปัญหาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (27/11/49)

Loopback


บทความ My Ontology ปล่อยให้ งง มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว วันนี้คงเฉลยให้ฟัง ว่าที่เขียนเพื่อต้องการสื่ออะไรกัน ….

Loopback คือช่องทางการสื่อสารที่มีจุดจบเพียงจุดเดียว ข้อความใดก็ตามที่ส่งผ่านทางช่องดังกล่าว
ช่องนั้นก็จะได้รับทันที Internet Protocol (IP) กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับ lookback network ภายใต้ IPv4 เครือข่ายนี้ควรเป็น
network 0 (เครือข่ายนี้) และ local loopback address ของโฮสต์ควรเป็น 0.0.0.0 (โฮสต์นี้ที่อยู่ในเครือข่ายนี้)
แต่เนื่องจากมีการใช้ address นี้ไปในทางที่ผิด (โดยเฉพาะการใช้ host address 0 เพื่อเป็น broadcast
address) จึงมีการเปลี่ยนมาใช้ 127.0.0.1 เป็น loopback address แทน
traffic ที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่งไปยัง loopback network จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน IP address
ที่มักใช้ใน loopback network คือ 127.0.0.1 สำหรับ IPv4 และ ::1 สำหรับ IPv6 ชื่อโดเมนสำหรับ address
นี้คือ localhost, loopback interface เป็น IP address ที่เรียกว่า circuitless หรือ virtual IP address
เนื่องจาก IP address นี้ไม่เชื่อมโยงกับ interface (หรือวงจร) ใด ๆ ในโฮสต์หรือเราเตอร์
มีการใช้ loopback interface ในหลาย ๆ ทางด้วยกัน เช่น ซอฟท์แวร์ที่เป็น network client ในคอมพิวเตอร์
ใช้เพื่อสื่อสารกับซอฟท์แวร์ server ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน ในคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเป็น web server
เมื่อเปิดที่ URL http://127.0.0.1/ ก็สามารถเข้าถึงเวบไซต์ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้อง
เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายใด ๆ จึงมีประโยชน์ในการทดสอบ services โดยไม่จำเป็นต้องให้เข้าถึงได้จาก
ระบบอื่นภายในเครือข่าย นอกจากนี้การ ping loopback interface ยังเป็นการทดสอบขั้นต้นว่า IP stack ได้ทำงานอย่างถูกต้องด้วย


จากรูปหมายเลข 1 และ 3 คือการ Loopback IP กับซอฟต์แวร์ที่ใช้ในเครื่องตัวเอง เพื่อรอการใช้งานจริง (LISTENING) หมายเลข 2 เครื่อง Loopback IP ซอฟต์แวร์ที่ทำงานเสร็จสิ้นแล้ว (ESTABLISHED)

เช่นกันบทความ My Ontology มีอาการ Loopback นั่นหมายความว่า จุดแรก และ จุดสุดท้าย เป็นสิ่งเดียวกัน ส่วนช่วงกลางคือภาพลวงตา บนความฝันที่เกิดขึ้น , My Ontology ผม มันคือความว่างเปล่า (อนัตตา) นั้นเอง

จากภาพข้างบนแสดงถึง ประโยคแรก ส่วนเริ่มต้นเนื้อเรื่อง และ ประโยคสุดท้าย กล่าวเหมือนกันว่า “Ontology ผมคงเปลี่ยนไป ..”

เป็นความตั้งใจที่ผมต้องการที่จะเขียนบทความสักเรื่อง ที่มีเนื้อหา วนกลับมาที่เดิม ส่วนใครจะตั้งใจให้มีสาระ หรือไม่มีสาระ หรือ อ่านแล้วไม่เข้าใจ และพยายามจะเข้าใจ นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องการ สุดแล้วแต่จิตนาการของผู้อ่าน หากมองอย่างไม่ซับซ้อน มันก็เพียงแค่การเขียนบทความให้เกิดอาการ Loopback นั่นเอง : )

ผลกระทบเมื่อเกิด Loopback บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network) โดยเฉพาะอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น Switch , Router มักจะทำให้เครื่อง Clinet ที่อยู่ภายใต้การควบคุมอุปกรณ์นั้น ใช้งานไม่ได้
ผลกระทบกับผู้อ่านบทความ เมื่อเกิด Loopback หากตั้งความหวังไว้ จะอ่านไม่รู้เรื่อง และหากพยายามจะที่จะให้รู้เรื่อง ก็จะได้คำตอบเหมือนเดิมที่เคยอ่านครั้งแรก

** สำหรับผมแล้ว Loopback พบได้บ่อย และมันเป็นเรื่องปกติ อย่างนั้นเอง (ตถตา)
Ontology เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตจริงตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับ ขันธ์ทั้ง 5 ทางพุธศาสนา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ ที่คนทั่วไปมักยึดเอาขันธ์มาเป็นตัวตน จึงเกิดการยึดมั่นถือมั่น เอามาเป็นตัวตนของตน จนก็เกิดทุกข์ในที่สุด
ความจริงสูงสุดคือ “อย่างนั้นเอง” ไม่ยินดีหลงรัก ไม่ยินร้ายหลงเกลียด มีความรู้สึกที่จะรัก และไม่เสียใจกับความรัก “Love means never having to say you’re sorry” เพราะมันก็อย่างนั้นเอง ธรรมชาติทุกอย่างมันก็อย่างนั้นเอง อย่านำมาเป็นตัวตนของตน

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman
20/05/2550

รอยยิ้มแห่งความหวัง

บทความ My Ontology ที่ผ่านมาผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่อ่านแล้ว คงสงสัยอยู่บ้าง ว่าต้องการสื่ออะไร และความหมายของคำว่า Ontology มันคืออะไร ผมบอกใบ้ให้นิดล่ะกัน จากภาพ และคำบรรยายต่อไปนี้

เริ่มต้นวันใหม่ กับความหวังใหม่ ..

เราต้องอยู่รอด เพื่อไปถึงเป้าหมาย ที่หวังไว้

บางทีเมื่อเกิดปัญหา ก็ต้องแก้ไขเฉพาะหน้าไปบ้าง ..

บางที อาจท้อแท้ ..

บ่อยครั้งที่เรามีกำลังใจ

แล้วเราต้องการอะไร ?

สิ่งนี้หรือ ?

หรือสิ่งนี้ ?

อาจเป็นความสุข เล็กๆ น้อยๆ

แล้วมันจะขนาดไหน กัน ถึงจะสิ้นสุด ..

มันอาจอยู่ไกลแสนไกล เราก็ต้องเดินทางกันต่อไป ถึงแม้เราจะต่างกันในวิธีการเดินทาง เพื่อถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็ตามแต่ …

ถึงลำบาก เราก็ยังยิ้มได้

เพื่อดำเนินชีวิตอยู่ต่อไป .. ถึงแม้ .. ความหวังที่ตั้งเป้าหมายไว้ ยังไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะมาถึง

เป้าหมายที่ตั้งไว้ มันอยู่ ได้ทุกๆที่ เมื่อเรามีรอยยิ้ม

วันนี้คุณยิ้มหรือยัง ? : ) กับ รอยยิ้มแห่งความหวัง

บังเอิญไม่ได้ตั้งใจเขียนหลอก แต่ค้นหาข้อมูลแล้วพบรูปถ่ายพวกนี้ ส่วนตัวชอบภาพถ่ายแบบนี้ ประกอบกับบทความที่แล้ว สร้างความ สับสนกับความหมายที่สื่อแสดงออกไปบ้าง (หากคาดหวัง) จึงนำเอาภาพพวกนี้มาปะติปะต่อเป็นเรื่องราว ที่ตัวผมอยากให้เป็น

เพราะภาพพวกนี้คือ การดำเนินชีวิตจริง (Reality Life) หรือ Ontology ที่มีความหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการดำรงอยู่ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งที่เป็นจริง นั้นเอง

ขอทิ้งท้ายก่อนจบ ด้วยเพลง What A Wonderful World ของ Louis Armstrong

มองชีวิตด้วยใจสราญ

์Nontwattana Saraman

ที่มาของภาพ มาจาก http://www.zonaeuropa.com/weblog.htm
Humanizing China – Part 1 (Survival)

Humanizing China – Part 2 (Relationships)

Humanizing China – Part 3 (Desires)

** ดูภาพพวกนี้แล้ว เห็นว่ายังมีอีกตั้งหลายชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ ลำบากกว่าเราอีกนะครับ เผื่อว่ามีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman