สรุปหนังสือ Fancy Bear Goes Phishing

“Fancy Bear Goes Phishing” ของ Scott J. Shapiro เล่าเรื่องราวโลกไซเบอร์ผ่านเลนส์ของการโจมตีไซเบอร์ห้าครั้งที่สำคัญ ผ่านกลุ่มแฮกเกอร์ “Fancy Bear” และอีกมากมาย หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแค่เจาะลึกถึงวิธีการโจมตี แต่ยังสำรวจปรัชญาและจิตวิทยาเบื้องหลังการแฮ็ก รวมถึงผลกระทบต่อสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร

ประเด็นสำคัญ:

  • Five Extraordinary Hacks: หนังสือเล่าถึงการโจมตีห้าครั้ง ได้แก่ การโจมตีระบบของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล, การเจาะข้อมูลของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ, การแฮ็ก DNC และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016, การโจมตีโซลาร์วินด์ส และการโจมตีโคโลนีอัลไปป์ไลน์
  • Beyond Technology: หนังสือเล่มนี้อธิบายว่าการโจมตีไซเบอร์ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของแฮ็กเกอร์ ความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และความไร้เดียงสาของผู้ใช้
  • The Dark History: Shapiro เจาะลึกถึงด้านมืดของโลกไซเบอร์ ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการโจมตีต่อประชาธิปไตย สิทธิความเป็นส่วนตัว และความมั่นคง
  • Philosophy of Hacking: หนังสือเล่มนี้สำรวจปรัชญาเบื้องหลังการแฮ็ก ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของข้อมูล อำนาจ ความรู้ และความจริง
  • Call to Action: Shapiro กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์ และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปในระดับบุคคล องค์กร และรัฐบาล

โดยสรุป “Fancy Bear Goes Phishing” เป็นหนังสือที่น่าอ่านสำหรับทุกคนที่สนใจโลกไซเบอร์ หนังสือเล่มนี้นำเสนอข้อมูลเชิงลึก น่าตื่นเต้น และชวนให้คิดตาม ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจภัยคุกคามและความท้าทายของโลกดิจิทัลสมัยใหม่

บทนำ: โลกไซเบอร์ที่มืดมิด

บทนี้เริ่มต้นด้วยการสำรวจประวัติศาสตร์การแฮ็กตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ชาพิโร่อธิบายว่าการแฮ็กเป็นกิจกรรมที่หลากหลาย โดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การโจรกรรมไปจนถึงการประท้วงทางการเมือง

บทที่ 1: การโจมตีโอลิมปิก: การแฮ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

บทนี้เล่าถึงการโจมตีระบบของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลในปี 2016 ซึ่งทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่และนักกีฬาได้ ชาพิโร่อธิบายว่าแฮ็กเกอร์ใช้กลวิธีฟิชชิงเพื่อหลอกล่อเหยื่อให้เปิดอีเมลที่เป็นอันตราย

บทที่ 2: การเจาะข้อมูล NSA: การโจมตีที่อันตรายที่สุดต่อความมั่นคงแห่งชาติ

บทนี้เล่าถึงการเจาะข้อมูลสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในปี 2013 ซึ่งทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลลับของรัฐบาลได้ ชาพิโร่อธิบายว่าแฮ็กเกอร์ใช้ช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัยของ NSA เพื่อเข้าระบบ

บทที่ 3: การแฮ็ก DNC: การโจมตีที่เปลี่ยนการเลือกตั้ง

บทนี้เล่าถึงการแฮ็กสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติพรรคประชาธิปไตย (DNC) ในปี 2016 ซึ่งทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชาพิโร่อธิบายว่าแฮ็กเกอร์ใช้กลวิธีฟิชชิงเพื่อหลอกล่อเหยื่อให้เปิดอีเมลที่เป็นอันตราย

บทที่ 4: การโจมตี SolarWinds: การโจมตีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งต่อภาคธุรกิจ

บทนี้เล่าถึงการโจมตี SolarWinds ในปี 2020 ซึ่งทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กรต่างๆ ชาพิโร่อธิบายว่าแฮ็กเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ของ SolarWinds เพื่อติดตั้งมัลแวร์ลงในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ

บทที่ 5: การโจมตี Colonial Pipeline: การโจมตีที่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

บทนี้เล่าถึงการโจมตี Colonial Pipeline ในปี 2021 ซึ่งทำให้ท่อส่งน้ำมันที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาหยุดทำงาน ชาพิโร่อธิบายว่าแฮ็กเกอร์ใช้แรนซัมแวร์เพื่อขู่กรรโชกเงินจาก Colonial Pipeline

บทส่งท้าย: อนาคตของการแฮ็ก

บทนี้สรุปประเด็นสำคัญจากหนังสือและสำรวจอนาคตของการแฮ็ก ชาพิโร่เตือนว่าภัยคุกคามจากการแฮ็กจะยังคงเพิ่มขึ้นในอนาคต และเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับภัยคุกคามเหล่านี้

สวัสดี

Nontawatt.s


Posted

in

by

Tags: